5.8.54

Honda Civic 2012.. ยังไม่ทันมาไทยก็แผ่วซะแล้ว

        

          โดยปกติแล้ว ในทางทฤษฎีรถรุ่นใหม่ย่อมมีคุณภาพและสมรรถนะ รวมถึงคุณสมบัติต่างๆดีกว่ารุ่นก่อนๆ ยกเว้นในเรื่องรูปลักษณ์ที่อาจจะขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคนเป็นหลักและวัด ได้ยาก แต่ดูเหมือนว่ารถที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดรุ่นหนึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา อย่าง All-New Honda Civic โมเดลเชนจ์โฉมปี 2012 จะเป็นกรณียกเว้น เพราะล่าสุด Civic LX รุ่นปี 2012 ซึ่งเป็นรุ่นที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกาและเป็นรุ่นใหญ่กว่ารุ่น Base (Civic DX) ขึ้นมาอีก 1 รุ่น ทำคะแนนได้ไม่ดีเลยจากรายงานผลการทดสอบของนิตยสารชื่อดัง Consumer Reports ที่จัดให้ Civic รุ่นนี้อยู่รองบ๊วย เหนือเพียง Volkswagen Jetta เท่านั้น





          แค่นั้นยังไม่พอ ความเจ็บปวดที่สุดก็คือ การเสียตำแหน่งผู้นำในรถระดับเดียวกันที่ครองอันดับ 1 มาหลายปี และติดโผ Top 5 ใน 10 ปีที่ผ่านมา แม้กระทั่งการถูกติดป้ายว่า “Recommended” ก็ยังไม่มีโอกาสที่จะทำได้ด้วยซ้ำ เรียกว่า “คะแนนต่ำเกินไปเกินกว่าจะ Recommend ได้!” ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Hyundai Elantra กับดีไซน์ใหม่ทำอันดับได้ดีขึ้น รวมถึง Ford Focus โฉมใหม่และน้องใหม่อย่าง Chevrolet Cruze ก็อยู่ในอันดับต้นๆเช่นกัน จากการเปิดเผยของ David Champion ผู้อำนวยการอาวุโส Consumer Reports Auto Test CenterCivic LX ทำคะแนนได้เพียง 61 จาก 78 ที่ Civic โฉมก่อนเคยทำได้ในปีที่ผ่านมา ซึ่งทีมผู้ขับทดสอบจาก Consumer Reports พบว่า Honda Civic โฉมใหม่ มีคุณภาพของห้องผู้โดยสารภายในที่ด้อยลง มีเสียงรบกวนจากภายนอกสูงขึ้น ความคล่องตัวในการขับขี่ลดลง ระบบเบรคไม่ดีเหมือนก่อน เป็นต้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแย่ในทุกเรื่องเพราะ Civic รุนนี้มีพื้นที่ผู้โดยสารด้านหลังที่กว้างขวางมากขึ้นและประหยัดน้ำมันมาก ที่สุดเป็นที่ 2 ในรถระดับเดียวกัน(ที่นำมาทดสอบ)







           Honda Civic LX ที่ใช้ถูกทดสอบมีขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ ความจุ 1.8 ลิตร 140 แรงม้า มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยที่น่าประทับใจคือ 30 ไมล์/แกลลอน การขับเคลื่อนผ่านเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด สามารถทำได้อย่างนุ่มนวล ซึ่งเป็นข้อดีอีกข้อหนึ่งของรถรุ่นนี้







              อย่างไรก็ตาม Honda ก็ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ในทันที โดยให้ความเห็นว่า โดยรวมแล้ว บริษัทฯไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับผลการทดสอบของ Consumer Reports เนื่องจากรถคอมแพคท์ซีดานรุ่นนี้มีจุดเด่นในหลายๆเรื่องมากกว่ารุ่นก่อน เรียกได้ว่าเกือบจะทุกอย่างก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการประหยัดน้ำมัน ระบบความปลอดภัย และคุณภาพของรถยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องประสิทธิภาพและการทำงานที่่นุ่มนวลของเครื่องยนต์ ในเรื่องของความปลอดภัยก็ถือว่าเป็นอันดับแรกโดยการจัดอันดับของ IIHS สหรัฐอเมริกาให้เป็น “Top Safety Pick” ส่วนเรื่องการประหยัดน้ำมันนั้นยิ่งโดดเด่นด้วยอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เฉลี่ยที่ 30 ไมล์/แกลลอน โดยสามารถทำได้ที่ 47 ไมล์/แกลลอน สำหรับการขับนอกเมือง ฉะนั้นบริษัทฯจึงมันใจว่า Honda Civic โฉมใหม่คือ รถคอมแพคท์ซ๊ดานที่ดีที่สุดที่บริษัทฯเคยผลิตออกมารุ่นหนึ่ง

2.4.54

ตลาดรถยนต์ยังโตไม่หยุด..แม้เพิ่งผ่านวิกฤติธรรมชาติ

        




            รายงานการจำหน่ายรถยนต์ปี 2554 เปิดเผยว่ามีการจำหน่ายรถยนต์ทั้งสิ้น 77,213 คัน เพิ่มมากกว่าปีที่แล้ว 42 % และทำให้ยอดรวมสะสมเพิ่มเป็น 145,611 คัน เพิ่มมากกว่าปีที่แล้ว 40% เป็นการเติบโตต่อเนื่องในระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้วซึ่งมีการขยายฐานการตลาดมาแล้วตลาดที่ขยายตัวมากที่สุดเป้นตลาดรถยนต์นั้งมียอดรวมทั้งสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 33,506 คัน เพิ่มขึ้นถึง 49.6% และมียอดสะสมปีนี้ 64,514 คันเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากันคือ 49.6% ทั้งนี้เป็นผลจากการทำตลาดอย่างต่อเนื่องของบริษัทรถยนต์รวมทั้งขยายกำลังผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดจากผุ้ผลิตที่ยังมียอดข้างส่งมากๆ เช่น Honda,Nissan,Ford เป็นต้น




โดยในตลาดรถยนต์นั้งนี้ยังมีผู้นำเป็น Toyota เช่นเคย ด้วยยอดจำหน่าย 14,173 คัน เเละมียอดสะสม 26,807 คัน ถือสัดส่วนตลาดไว้ 41% แต่ที่น่าสนใจคือรายที่มีรถเล้กเข้าสู่ตลาดที่กำลังเป็นที่นิยมต่อเนื่องมาตลอดอย่างเช่น Ford ที่กำลังอยู่ในช่วงเร่งส่งมอบ Fiesta มียอดในเดือนกุมภาพันธ์ถึง 1,386 คัน เพิ่มจากปีที่แล้วที่ยังไม่มี Fiesta จำหน่ายถึง 1,440% กลายเป็นบริษัทที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูงสุดในขณะที่รถเล็กรายอืน เช่น Nissan เร่งการผลิต March ออกส่งมอบให้ลูกค้าได้อีก 2,879 คัน ทำยอดสะสมไปแล้ว 5,335 คัน แต่ยังค้างส่งจากยอดจองที่มีอยู่เกือบหมื่นคันครองตำแหน่งรถยนต์ที่มียอดการจองนานที่สุดต่อไป 



          ส่วน Mazda มียอดขาย 2,486 คัน เพิ่มขึ้นเพียง 28% แต่เป็นการเพิ่มขึ้นจากฐานที่สูงมากเพราะเือนนี้เมื่อปีที่แล้ว Mazda โตมาแล้วหลายร้อยเปอร์เซ็นต์และยังทำให้ยืนในตำแหน่งที่ 4 ได้อย่างเหนียวแน่นรอจังหวะ่ที่จะเบียดขึ้นที่สามต่อไปจากการเปิดตัวของ Mazda3 ใหม่ที่เริ่มขึ้นแล้ว และการทำตลาดในลักาณะเปิดตัวรถใหม่แล้วมีรถส่งให้ลูกค้าทันทีจะทำให้ Mazda เร่งขึ้นหน้า Nissan ได้หรือไม่ต้องรอดูผลงานในเดือนถัดไปอีกรายหนึ่งที่ต้องจับตาคือ Suzuki ที่ทำให้ Swip ขึ้นทะเบียนในรถที่อยู่ในกระแสอินเทรนได้สำเร็จ มียอดขาย 314 คัน แผ่วลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนมกราคมก่อนหน้านี้แต่ยังมียอดขายเดินหน้าไปเรื่อยๆและสร้างความมั่นใจในแบรนด์สินค้าได้มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ Honda ซึ่งเป็นอันดับสองของตลาดมียอดขาย 9,125 คัน เพิ่มขึ้นไม่มากนักทั้งๆขยายกำลังการผลิตมากขึ้นมี Jazz รุ่นพิเสษมีออปชั่นเพิ่มมีชุดแต่งสปอร์ตพร้อมกับทำสีใหม่ออกมากระตุ้นตลาดไม่ให้ตกกระแส เบบี้บูม และมีผลให้ยอดขาย Honda เดินหน้าด้วยดีเช่นเคย




           สว่นค่ายยุโรปที่ต้องรบกับผู้นำเข้าอิสระอย่างกนักแต่มียอดจำหน่ายเติบโตอย่างทั่วถึง 3 ค่ายหลัก Mercides มียอดขาย 408 คัน เพิ่มขึ้น 50% BMW มียอดขาย 250 คัน เพิ่มขึ้น 29% และ Volvo มียอดขาย 48 คันเพิ่มขึ้น 14% ผลการกระตุ้นยอดขายของบริษัทรถยนต์แบบไม่ทันให้ตลาดพักตัวหลังจากเทสกาลการขายปลายปีที่ผ่านมาแล้วจากแรงกระตุ้นของงานมอเตอร์เอ็กซ์โปจากแรงซื้อก็ยังไม่ตกกลับเพิ่มขึ้นก่อนเข้าสู่งานมอเตอร์โชว์ปลายเดือนมีนาคมต่อเดือนเมษายน รถใหม่เตรียมเปิดตัวกันมาแบบจัดงานกันรายวันจนทำให้งานมอเตอร์โชว์คึกคักขึ้นทันตาถึงแม้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมยานยนต์จะมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยจาก 112.7 ในเดือนมกราคมมาเป็น 108.2 ในเดือนกุมภาพันธ์แต่ยังยืนอยู่ในระดับเหนือ 100 จุดซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ยังมั่นใจความต้องการของตลาด


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Auto Bild

มีเสียงดังก๊อกๆขณะเลี้ยวกลับรถเกิดจากอะไร








           การเกิดเสียงก๊อกๆถี่ขึ้นขณะเลี้ยวกลับรถอาจเกิดปัญหาจากชุดเพลาขับ เพราะเพลาขับทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อคู่หน้าซึ่งเป็นอุปกรณ์ส่วนหนึ่งของระบบส่งกำลังปลายเพลาขับจะรับกำลังจากเครื่องยนต์ที่ส่งมาจากชุดเกียร์ผ่านแกนเพลาขับมายังหัวเพลาขับที่ต่อกับชุดดุมล้อปลายเพลาขับและหัวเพลาขับจะเป็นชุดข้อต่อวึ่งภายในบรรจุไว้ดว้ยตลับลูกปืนซึ่งจารบีเป็นตัวหล่อลื่นโดยมียางหุ้มเพลาขับทำหน้าที่กักเก็บจาระบีดังนั้นเมื่อยางหุ้มเพลาขับเสื่อมสภาพเช่นขาดจารบีก็จะรั่วไหลออกมาได้นอกจากนั้นยังทำให้เศษดิน หิน หรือน้ำที่สามารถเล็ดลอดเข้าไปภายในชุดข้อต่อจะทำให้ชุดตลับลูกปืนเพลาขับเกิดการชำรุดเสียหายและเป็นต้นเหตุของเสียงดังกล่าวโดยแสดงอาการชัดเจนในขณะที่เพลาขับทำงงานหนัก เช่น ตอนเลี้ยวกลับรถทำให้อาจจะต้องเปลี่ยนชุดหัวเพลาขับหรือชุดปลายเพลาขับดังนั้นเมื่อเพลาขับมีความสำคัญเช่นนี้จึงควรนำรถยนต์เข้าทำการตรวจเช็คอยู่เป็นประจำเพื่อที่จะช่วยให้เมื่อเราพบกับปัญหาหรือสาเหตุของอาการแล้วเราจะได้หาทางแก้ปัญหากันได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่ระบบเพลาขับจะได้รับความเสียหายแบบร้อยเปอร์เซ็นต์

26.3.54

เมื่อสองรถยนต์มหาชนมาเจอกัน VIOS ปะทะ CITY ..ใครจะอยู่ใครจะไปในเปรียบมวย





            ถ้าพูดถึงพฤติกรรมของการใช้รถยนต์ในบ้านเราแล้วหละ่ก้จะสังเกตได้ว่ารถยนต์นั้งระดับกลางนั้นจะค่อนข้างได้รับความนิยมค่อนข้างสูงตามค่านิยมเเละเศรษฐกิจของประเทศฉะนั้นจึงไม่เป็นเรื่องที่แปลกตาเลยถ้าเราจะเห็นรถยนต์ระดับกลางๆมาวิ่งโลดแล่นตามท้องถนนของบ้านเราแบบเกลื่อนกลาดเต็มไปหมดและก็จะมีเพียงรถยนต์ไม่กี่ยี่ห้อเท่านั้นที่จะสามารถครองใจผู้ใช้รถใช้ถนนในบ้านเราได้อย่างทะลักทะล้นเป็นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงเรื่อยมาเป็นเวลานานนับสิบปีได้อย่าง 2 ค่ายรถยนต์ที่ถือว่ายิ่งใหญ่ในระดับโลกและได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในเมืองไทยนั่นก็คือค่าย TOYOTA และก็ค่าย HONDA ที่ต่างคนก็ต่างสรรหาทีเด็ดทีขาดปล่อยรถยนต์รูปแบบต่างๆออกมาห่ำหั่นกันอยู่ตลอดเวลาชนิดที่ว่านาทีต่อนามีกันเป็นประจำมาถึงคราวนี้เราจะมาวัดกันเลยว่ารถยนต์นั้งระดับกลางขวัญใจมหาชนชาวไทยอย่าง TOYOTA VIOS ที่จะมาวัดกันกับรถยนต์นั้งคู่แข้งคนสำคัยในรุ่นเดียวกันอย่าง HONDA CITY ซึ่งใครจะอยู่ใครจะไปคงจะเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินเพราะเรียกได้ว่าเป็นรถที่มีการออกแบบในเรื่องของรูปทรงรูปลักษณ์หรือแม้กระทั้งพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีที่ต่างก็กินกันแทบไม่ลงและถ้าจะมาวัดกันในส่วนของอุปกรณ์ตกแต่งกันแล้วหละ่ก็ต่างก้มีดีไม่แพ้ทางกันเช่นกันไม่ว่าจะเป็นพัธมิตรของค่าย TOYOTA อย่างชุดแต่ง TRD หรือจะเป็นพันธมิตรของทางค่าย HONDA อย่าง MODULO หรือ MUGEN ต่างก็พยายามสรรหาหรือพยายามออกแบบชุดแต่งมีระดับป้อนให้กับบรรดา 2 ผู้ผลิตรายใหญ่นี้อย่างต่อเนื่อง

มิติและน้ำหนักของตัวรถ


        ถ้ามาดูทางด้านของมิติหรือน้ำหนักของตัวรถทั้งสองค่ายแล้วหละ่ก็ถ้าดูดว้ยตาเป่ลาแล้วหละ่ก็แทบจะแยกแยะกันไม่ออกเลยทีเดียวแต่ถ้าอาศัยข้อมูลทางเทคนิคมาทำการวิเคราะห์แล้วหละ่ก็็ๆจะพอมองเห็นความแตกต่างในเรื่องของขนาดของตัวรถในระดับหนึ่งซึ่งทางด้านของ HONDA CITY จะค่อนข้างกว้างขวางกว่าทาง TOYOTA VIOS เล็กน้อยแต่ก็ไม่มากที่  1.492 m ส่วนทางด้าน VIOS จะอยู่ที่ 1.470 m (วัดจากระยะความกว้างของช่วงฐานล้อ) และทาง HONDA CITY จะมีขนาดความยาวที่มากกว่าทาง TOYOTA VIOS อย่างเห็นได้ชัดที่ 4.395 m ทาง TOYOTA VIOS จะมีความยาวที่ 4.300 m และทาง HONDA CITY จะมีน้ำหนักตัวที่มากกว่าทาง VIOS อยู่เล็กน้อยที่ 1120 kg ส่วนทาง TOYOTA VIOS จะอยู่ที่ 1055 kg โดยประมาณ


ระบบเครื่องยนต์





        ในส่วนของระบบเครื่องยนต์นั้นทั้งสองค่ายจะใช้เครื่องยนต์ขนาดความจุกระบอกสูบที่ 1500 ซีซีเท่ากันทั้งสองค่ายโดยทางฝั่ง TOYOTA VIOS นั้นจะใช้เครื่องยนต์ตระกูล VVT-I ที่สามารถให้แรงบิดสูงสุดที่ 4200 รอบ/นาที และมีอัตราส่วนกำลังอัดทีี่่่่่ 10.5:1 ส่วนทางฝั่ง HONDA CTY นั้นจะใช้เครื่องยนต์ตระกูล I-VTEC ที่สามารถทำแรงบิดสูงสุดได้มากกว่าทาง TOYOTA VIOS ที่ 4800 รอบ/นาที แต่มีอัตราส่วนของกำลังอัดที่น้อยกว่าทาง TOYOTA VIOS ที่ 10.4:1 ซึ่งจากการดูข้อมูลพื้นฐานเบื้องต้นของระบบเครื่องยนต์แล้วหละ่ก็ถือว่าค่อนข้างสูสีกันซึ่งในส่วนของทาง CITY นั้นจะได้ในส่วนของอัตราเร่งส่วนทางด้านของ VIOS นั้นจะได้ในส่วนของอัตรารักษาระดับของกำลังเครื่องยนต์ขณะใช้งานที่อุณหภูมิสูงๆส่วนหัวใจสำคัญของการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นจุดเด่นของรถยนต์ของทั้งสองค่ายนั้นก้คือระบบการจ่ายน้ำมันหรือระบบหัวฉีดทาง HONDA CITY จะใช้ระบบหัวฉีดแบบ PGM-FI ส่วนทางฝั่ง TOYOTA VIOS นั้นจะใช้ระบบหัวฉีดแบบ อิเล็กทรอนิกส์ EFI


ระบบเกียร์


VIOS



CITY
            ในส่วนของระบบเกียร์อัตโนมัตินั้นทางด้านของ TOYOTA VIOS นั้นจะใช้เป็นแบบอัตโนมัติ 4 สปีดส่วนทางด้านของทาง HONDA CITY นั้นจะใช้เป็นแบบอัตโนมัติ 5 สปีดซึ่งระบบเกียร์อัตโนมัติของทางฝั่ง HONDA CITY นั้นจะให้อัตราการเปลี่ยนเกียร์ที่ค่อนข้างนุ่มนวลกว่าทาง VIOS เล็กน้อยเเต่อัตราส่วนรอบความเร็วของการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัตินั้นทาง TOYOTA VIOS จะสูงกว่าทางด้าน HONDA CITY เเต่ถ้าพูดถึงดีไซต์หรือการออกแบบระบบเกียร์แล้วหละ่ก็ทางด้านของ TOYOTA VIOS นั้นเรียกได้ว่าออกแบบมาค่อนข้างดูดีและทันสมัยกว่าทางฝั่งของ HONDA CITY ดว้ยรูปทรงแบบทริปโทรนิคที่เพิ่มความน่าใช้งานให้แก่ผู้ใช้ต่างจากทาง CITY ที่ยังคงออกแบบมาในทรงของเกียร์อัตโนมัติธรรมดาๆเหมือนรถยนต์ที่ใช้งานทั่วๆไป


ระบบพวงมาลัย







       ทางฝั่งของ TOYOTA VIOS นั้นจะใช้ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า (EPS) เช่นเดียวกับทางฝั่งของ HONDA CITY ที่ใช้ระบบพวงมาลัยไฟฟ้าแบบ EPS ที่ให้ทั้งการตอบสนองที่ฉับไวและให้การควบคุมรถที่ง่ายและคล่องตัวและยังออกแบบระบบพวงมาลัยให้สามารถรองรับการทำงานแบบระบบพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นที่รองรับระบบการควบคุมสั่งการต่างๆได้ด้วยเพียงระบบปลายนิ้วสัมผัส


ระบบดีไซต์และอุปกรณ์ภายใน



       ในส่วนของการออกแบบภายในหรือดีไซต์นั้นถือได้ว่ามีการออกแบบมาได้อย่างทันสมัยและค่อนข้างลงตัวของทั้งทางสองค่ายไม่่ว่าจะเป็นในส่วนของระบบเครื่องเสียงติดรถยนต์ที่ถูกออกแบบมาในแบบ Build In และใช้งานง่ายขณะขับขี่รวมถึงโทนสีภายในที่ใช้ที่ทั้งทางสองค่ายเลือกใช้โทนสีแบบทูโทนที่ให้ทั้งความหรูหราและมีระดับเเละแบบโทนสีดำทึบที่ให้ความเป็นสปอร์ตซีดานแต่ในด้านของความสดวกหรือมุมมองของการใช้งานนั้นทางฝั่ง HONDA CITY นั้นจะค่อนข้างได้เปรียบมากกว่าในส่วนของทัศนวิสัยในการขับขี่ไม่ว่าจะเป้นในส่วนของตำแหน่งที่ตั้งของเรือนไมล์ที่ให้มุมมองที่มองได้ง่ายกว่าขณะขับขี่และดูสบายตาและมุมมองของกระจกด้านหน้าคนขับที่เปิดกว้างมากกว่าทางฝั่ง TOYOTA VIOS


บทสรุป

          โดยภาพรวมแล้วรถยนต์ของทั้งสองค่ายไม่ว่าจะเป็นทาง TOYOTA VIOS หรือทาง HONDA CITY นั้นไม่ค่อยแตกต่างหรือโดดเด่นเกินกันมากนักไม่ว่าจะเป็นระบบเครื่องยนต์หรือดีไซด์ของการออกแบบหรือจะเป็นทางด้านของอุปกรณ์ตกแต่งที่เหล่าบรรดาบริษัทผู้ผลิตก็ต่างผลิตคิดค้นอุปกรณ์ตกแต่งใหม่ๆป้อนให้กับเหล่าบรรดาค่ายรถยนต์ทั้งสองแบบไม่ขาดจะมีแตกต่างกันบ้างก็แค่ในส่วนของรายละเอียดทางเทคนิคเล็กๆน้อยๆที่ทาง HONDA CITY ดูจะมีเหนือกว่าทาง TOYOTA VIOS แบบเล็กน้อยที่เหลือก็คงจะขึ้นอยู่กัความพอใจหรือความนิยมของผู้ใช้งานที่จะเลือกใช้งานรถในสไตล์ที่ตนเองชอบและถนัดมากกว่ารายละเอียดทางเทคนิคเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจ

21.3.54

MAZDA 3 ใหม่..สมกับการรอคอย

          และแล้วรถยนต์หรูมาดสปอร์ตซีดานอย่าง MAZDA 3 ก็ได้เวลาปรับปรุงรูปโฉมหน้าตากันเสียทีเรียกได้ว่าการปรับปรุงรูปลักษณ์ในครั้งนี้นั้นเรียกได้ว่าใหม่เอี่ยมทั้งภายนอกและภายใน (ฺBody Change) หลังจากที่ทางค่าย MAZDA 3 ได้ปล่อยให้คู่แข็งในรุ่นเดียวกันของค่ายยานยนต์อื่นๆทิ้งห่างไปหลายช่วงตัวเพราะต่างก็ทยอยปรับปรุงรูปโฉมรูปร่างหน้าตากันไปเกือบหมดแล้วแต่การกลับมาคราวนี้ของทาง MAZDA 3 ในครั้งนี้ก็ถือได้ว่าไม่ได้สายจนเกินการเพราะตามสไตล์ของรถยนต์นั้งยี่ห้อ MAZDA 3 นั้นถือว่าคุณภาพคับแก้วกันเลยทีเดียวเรียกได้ว่าจะออกตัวช้าออกตัวเร็วก็ตามทันได้ตลอดสำหรับค่ายรถอื่นๆแต่การกลับมาในครั้งนี้ทาง MAZDA 3 ยังคงรักษารูปลักษณ์หรือรูปทรงแบบสปอร์ตซีดานไว้ได้แบบครบถ้วนร้อยเปอร์เซ็นต์หรืออาจจะมากกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำโดยการเปิดตัวของทาง NEW MAZDA 3 ในครั้งนี้นั้นน่าจะทำให้วงการรถยนต์ระดับกลางเกิดการแข่งขันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดกันอย่างเมามันแน่นอน




         บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว “มาสด้า 3 โมเดลเชนจ์” โดยประเดิมกับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร มาพร้อมกันทั้งตัวถังแฮตช์แบ็กและซีดาน สนนราคาขาย 1.064 ล้านบาท สำหรับ All New Mazda3 มาพร้อมรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยว สไตล์ “ซูม-ซูม” ส่วนเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2000 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 147 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 182 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อม Paddle Shift ปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ตามต้องการ




ออปชันเด่นทั้งไฟหน้าโปรเจกเตอร์แบบไบซีนอน พร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ ไฟท้ายแบบ LED รูปทรงสปอร์ต ระบบกุญแจ Smart Keyless Entry เปิด-ปิดประตูโดยไม้ต้องใช้กุญแจหรือรีโมท พร้อมระบบ Push Start Button เพียงปลายนิ้วสัมผัส รวมถึงซันรูฟเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ระบบการควบคุมการทรงตัว DSC ให้ความมั่นทุกการเข้าโค้ง ล้ออัลลอยลายสปอร์ตขนาด 17 นิ้วโดย โชอิชิ ยูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า มาสด้า 3 เจเนอเรชันใหม่ จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้มาสด้าในประเทศไทยอีกครั้ง เพราะเป็นยนตรกรรมคุณภาพที่ผู้บริโภครอคอยมากที่สุดในปีนี้ ทั้งแนวทางการออกแบบรูปโฉมที่สวยงามโดดเด่นสะดุดตา รูปลักษณ์ให้ความรู้สึกสปอร์ตแม้ขณะเคลื่อนไหวหรือขณะจอดนิ่งสงบอยู่กับที่ โฉบเฉี่ยวปราดเปรียว พร้อมการประกอบอย่างประณีตด้วยวัสดุคุณภาพสูง







          สิ่งที่ทำให้มาสด้า 3 โดดเด่น นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนารถสปอร์ต เรียกว่า “เทคโนโลยีไลต์เวท” (Lightweight Technology) ลดน้ำหนักส่วนเกินที่ไม่จำเป็นของรถลง แต่ช่วยให้สมรรถนะของรถดีขึ้น ขณะเดียวกันช่วยให้รถประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม 3%”สำหรับมาสด้า 3 ใหม่ สามารถลดน้ำหนักส่วนเกินลงถึง 15 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน และที่แน่นอนคือ ระบบช่วงล่างอันเลื่องชื่อของมาสด้า ทุกองค์ประกอบ จึงตอบสนองการขับขี่ที่สนุกสนานตามแบบฉบับ “ซูม-ซูม” อย่างแท้จริงมาสด้า 3 ใหม่ เริ่มแรกจะมีด้วยกัน 2 รุ่น คือ แฮตช์แบ็ก 5 ประตู และซีดาน 4 ประตู มีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ราคา 1,064,000 บาท


ที่มาข้อมูลจาก ASTV ผู้จัดการออนไลน์

18.3.54

น้ำมันเครื่องรถยนต์





            ระบบน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์หรือน้ำมันเครื่องรถยนต์นั้นมีความสำคัญกับระบบเครื่องยนต์ในการทำงานเป็นอย่างยิ่งเพราะทุกๆชิ้นส่วนของระบบเครื่องยนต์เมื่อมีการทำงานหมายถึงขณะทำการขับขี่รถยนต์แต่ละ่ชิ้นส่วนนั้นก็จะเกิดการเสียดสีกันอยู่ตลอดเวลาซึ่งการเสียดสีกันหรือการเคลื่อนไหวของชิ้นส่วนเหล่านี้ภายในเครื่องยนต์ก็จะทำให้เกิดความร้อนสะสมที่บริเวณพื้นผิวของวัสดุที่เสียดสีกันถ้าหากว่าระบบการหล่อลื่นของรถยนต์ที่เราใช้งานหรือบกพร่องหรือใช้น้ำมันเครื่องที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานแล้วหละ่ก็แน่นอนว่าอายุการใช้งานของรถยนต์ที่เรารักย่อมจะสั้นลงเกินกว่ากำหนดอย่างแน่นอนฉนั้นการหมั่นดูแลรักษาคอยตรวจตราตรวจเช็ครถยนต์น้ำมันเครื่องรถยนต์อยู่ตลอดเวลาแล้วและเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่ดีที่ได้คุณภาพมาตรฐานแล้วหละ่ก็ก็จะสามารถช่วยยืดอายุการทำงานของเครื่องยนต์ไปได้อีกอย่างยาวนาน
 
น้ำมันเครื่อง มี 3 ชนิดคือ

1. น้ำมันเครื่องธรรมดา ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียม ใช้งานได้ 3,000-5,000 กม.
2. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นธรรมดากับชนิดสังเคราะห์ ใช้งานได้ 5,000-7,000 กม.
3. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่สังเคราะห์ จากน้ำมันปิโตรเลียม ใช้งานได้ 7,000-10,000 กม.



 ส่วนประกอบของน้ำมันเครื่อง

น้ำมันพื้นฐาน  คือ ส่วนประกอบหลักที่สำคัญในการผลิตน้ำมันหล่อลื่นสามารถหาน้ำมันพื้นฐานได้จาก 3 แหล่ง ดังนี้
1. น้ำมันพื้นฐานที่สกัดจากพืช น้ำมันประเภทนี้ไม่นิยมนำมาผลิตเป็นน้ำมันเครื่องโดยตรงเนื่องจากเสื่อม คุณภาพในการหล่อลื่นได้ง่าย เมื่อสัมผัสความร้อน
 2. น้ำมันพื้นฐานที่สกัดจากน้ำมันดิบหรือปิโตรเลียม น้ำมันพื้นฐานประเภทนี้มีหลายชนิด แต่ส่วนมากจะนิยมใช้น้ำมันดิบจากฐานพาราฟินิก (Paraffinic) ซึ่งจะมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะนำมาผลิตเป็นน้ำมันเครื่องมากที่สุด เนื่องจากมีคุณสมบัติในการหล่อลื่นเพียงพอต่อการปกป้องเครื่องยนต์มิให้เกิด การชำรุดเสียหายได้แม้เครื่องยนต์จะทำงานที่อุณหภูมิต่ำ-สูงก็ตาม
 3. น้ำมันพื้นฐานสังเคราะห์ (Synthetic Base Oil) น้ำมันพื้นฐานประเภทนี้นิยมใช้ผลิตเป็นน้ำมันหล่อลื่นในงานพิเศษ ผลิตขึ้นจากการสังเคราะห์ด้วยขบวนการทางเคมี ทำให้มีคุณสมบัติในการหล่อลื่นและปกป้องเครื่องยนต์เหนือกว่า น้ำมันพื้นฐาน 2 ชนิดแรก

สารเพิ่มคุณภาพ (Additive)
สาเหตุของการใส่สารเพิ่มคุณภาพ
  1.   เพื่อปรับค่าความหนืดของน้ำมันหล่อลื่นตามอุณหภูมิการทำงานที่แตกต่างกัน
  2.   เพื่อให้น้ำมันมีคุณสมบัติในการหล่อลื่นได้สมบูรณ์ตลอดอายุของน้ำมันหล่อลื่น
  3.   เพื่อให้น้ำมันหล่อลื่นมีอายุการใช้งานไดนานขึ้น
  4.   เพื่อให้น้ำมันหล่อลื่นมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะอย่างเหมาะกับการใช้งานในแต่ละประเภท
  5.   เพื่อลดการสึกหรอและยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรเครื่องยนต์ให้นานขึ้น
  6.   เพื่อให้เครื่องจักรเครื่องยนต์มีสมรรถนะในการทำงานสูงขึ้น  

ชนิดและหน้าที่ของสารเพิ่มคุณภาพ

1. สารชะล้างเขม่า ทำหน้าที่ทำความสะอาดภายในเครื่องยนต์โดยการชะล้างสิ่งสกปรกคราบตะกอนเขม่า ต่าง ๆ ออกจากชิ้นส่วนของเครื่องยนต์
2. สารกระจายสิ่งสกปรก ทำหน้าที่ย่อยหรือสลายสิ่งสกปรกคราบตะกอนเขม่าให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แขวนลอยผสมอยู่กับน้ำมันเครื่องเพื่อป้องกันไม่ให้ไส้กรองน้ำมันเครื่องอุดตัน ทั้งยังป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกเล็ก ๆ เหล่านี้ตกตะกอนเพื่อรอการถ่ายทิ้ง
3. สารปรับปรุงค่าดัชนีความหนืด ทำหน้าที่ช่วยรักษาค่าความหนืดของน้ำมันให้คงที่เสมอ ถึงแม้ว่าอุณหภูมิการทำงานของเครื่องยนต์จะเปลี่ยนแปลงไป
4. สารป้องกันการสึกหรอ ทำหน้าที่ช่วยลดการสึกหรอของชิ้นส่วนและช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการละลายติด กันของชิ้นส่วนเมื่อชิ้นส่วนขาดการหล่อลื่นชั่วขณะหนึ่ง
5. สารป้องกันการเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจน ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้น้ำมันแปรสภาพเป็นยางเหนียว หรือน้ำมันกลายสภาพเป็นโคลน เมื่อเครื่องยนต์ร้อนจัดหรือทำงานที่อุณหภูมิสูงมาก ๆ นาน ๆ
6. สารป้องกันการเกิดฟอง ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เกิดฟองอากาศในน้ำมันขณะใช้งาน
7. สารป้องกันสนิม ทำหน้าที่ป้องกันสนิมที่จะเกิดขึ้นบนผิวหน้าของชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ทำด้วยเหล็กในขณะที่เครื่องยนต์ไม่ได้ทำงาน หรือขณะเก็บรักษาเพื่อรอการใช้งานต่อไป
8. สารป้องกันการกัดกร่อนจากกรด ทำหน้าที่ป้องกันการกัดกร่อนของกรดกำมะถัน ซึ่งเกิดขึ้นจากการเผาไหม้ของกำมะถันที่อยู่ในน้ำมันเชื้อเพลิง
9. สารรับแรงกดอัดหรือกระแทก ทำหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงให้ฟิล์มน้ำมันโดยสามารถรับภาระน้ำหนักได้มากขึ้น ในขณะที่ชิ้นส่วนเคลื่อนที่กระทบกันอย่างรุนแรง ฟิล์มน้ำมันจะไม่แตกตัวง่าย เช่น เกียร์และเฟืองท้าย เป็นต้น
10. สารลดจุดไหลเทของน้ำมัน ทำหน้าที่เป็นตัวให้น้ำมันที่จุดไหลเทที่อุณหภูมิต่ำลงไปกว่าเดิมอีก หรือใช้เพื่อทำให้น้ำมันสามารถใช้กับภูมิประเทศที่มีอุณหภูมิต่ำมาก ไม่ทำให้น้ำมันแข็งตัว แม้จะมีอุณหภูมิต่ำหรือติดลบมาก ๆ
11. สารลดแรงเสียดทาน ทำหน้าที่ช่วยลดแรงเสียดทานของชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่เสียดสีกันโดยการ เปลี่ยนแปลงค่าสัมประสิทธิ์ความฝืดของผิวชิ้นส่วนที่สัมผัสกับน้ำมัน
12. สารช่วยให้เกาะติดชิ้นส่วนได้ดี ทำหน้าที่เพิ่มคุณสมบัติการยึดเกาะของฟิล์มน้ำมันกับชิ้นส่วนไม่ให้หลุดลอก ออกง่ายเมื่อถูกเสียดสี เช่น การหล่อลื่นในเกียร์หรือเฟืองท้าย ซึ่งต้องอาศัยการนำพาน้ำมันด้วยการยึดเกาะไปกับฟันเฟือง เป็นต้น


ข้อควรปฏิบัติสำหรับน้ำมันเครื่อง

ระดับน้ำมันเครื่องสูงเกิน

น้ำมันเครื่องจะถูกดันผ่านแหวนลูกสูบขึ้นไปเผาไหม้กับน้ำมันเชื้อเพลิงจะมีเขม่าจับภายในห้องเผาไหม้ ทำให้เครื่องเกิดการน็อค อย่างรุนแรง / น้ำมันเครื่องจะดันออกทางซีลด้านหน้าและด้านหลังของเพลาข้อเหวี่ยง ทำให้เกิดการรั่วซึมได้ง่าย / ทำให้เกิดแรงดันในห้องเครื่องสูงและจะดันไอน้ำมันเครื่องออกมาทางท่อระบายได้มาก / ทำให้เครื่องยนต์ร้อนจัด

ถ้าระดับน้ำมันเครื่องต่ำเกินไป

ปั๊มน้ำมันเครื่องจะไม่สามารถดูดน้ำมันและส่งไปหล่อลื่นชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวภายในเครื่องอย่างเพียงพอ ทำให้เกิดการสึกหรออย่างรวดเร็วเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เครื่องพัง

เปลี่ยนตามอายุการใช้งาน

น้ำมันเครื่อง เปลี่ยนน้ำมันทุกๆ 5,000 กม./ 3เดือน
ไส้กรองน้ำมันเครื่องยนต์ เปลี่ยนทุกๆ 10,000 กม./ 6เดือน
ไส้กรองน้ำมันเบนซิล เปลี่ยนปีละครั้งทุกๆ 50,000 กม.
ไส้กรองอากาศ ทำความสะอาดทุก ๆ 5,000 กม. หรือ 10,000 กม. เปลี่ยนทุกๆ 20,000 กม. ทุกปีเป็นอย่างน้อย
ทำความสะอาดกรองอากาศหรือเปลี่ยนเมื่อหมดสภาพการใช้งาน
เปลี่ยนกรองน้ำมันเครื่องพร้อมน้ำมันเครื่อง

เปิดให้จองกันเเล้ว..HONDA BRIO






            และเเล้วแฟนคลับ HONDA BRIO บ้านเราก็จะได้ยลโฉมรถยนต์ ECO-CAR ตัวจี๊ดสดใสสมดั่งที่ได้เฝ้ารอคอยกันมานานซะที่เมื่อทางด้านของ บริษัท HONDA MOTOR ประเทศไทย ได้ฤกษ์เปิดตัวรถยนต์เอนกประสงค์ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่าง HONDA BRIO ที่กำลังจะเปิดให้จองตัวได้ที่งานมอเตอร์โชว์ที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้าและที่โชว์รูม HONDA ทั่วประเทศโดย HONDA BRIO ตัวที่จะใช้เปิดตัวและจัดจำหน่ายในเมืองไทยเรานี้อาจจะมีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างไปจาก HONDA BRIO เวอร์ชั่นที่ใช้เปิดตัวตามงานมอเตอร์โชว์ต่างๆเช่นแผงคอนโซลภายในที่จะเน้นออกไปทางโทนสีดำเล็กน้อยและภายนอกที่มีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างไปบ้างคงจะต้องไปวัดกันที่ยอดจองตัวล็อตแรกกันที่งานมอเตอร์โชว์ที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ว่าเจ้า HONDA BRIO จะสามารถครองแชมป์ยอดจองสูงสุดในงานได้หรือไม่ และที่สำคัญถือว่าเป็นการเปิดตัวครั้งแรกของโลกที่เมืองไทยแถมยังใช้บ้านเรา เป็นฐานการผลิต ประกอบ และจัดจำหน่ายสำหรับฮอนด้า บริโอ้ เคยเผยโฉมสู่สายตาชาวโลกมาแล้วครั้งหนึ่งในงาน “มหกรรมยานยนต์” เมื่อปลายปีที่ผ่านมาบริโอ้ เป็นรถแฮทช์แบ็ก 5 ประตู ที่ฮอนด้าผลิตออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของคนไทยที่ชื่นชอบยานยนต์ขนาด กระทัดรัด ที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นสะดุดตา แต่ให้ความรู้สึกกว้าง โปร่งสบาย ประหยัดน้ำมัน มีเทคโนโลยีนำสมัย และที่สำคัญราคาย่อมเยา






            นาย อาซึชิ ฟูจิโมโตะ ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงที่มาของ ฮอนด้า บริโอ้ ฮอนด้า บริโอ้ มีให้เลือกสองรุ่น S กับ V โดยทั้งคู่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ i-VTEC 4 สูบ ความจุ 1.2 ลิตร ที่ให้พลัง 90 แรงม้า สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E20 และประหยัดเชื้อเพลิงได้ถึง 20 กิโลเมตรต่อลิตร อีกทั้งปล่อยไอเสียสะอาดตามเกณฑ์มาตรฐานยูโร-4 ด้วยประสิทธิภาพของตัวถังยังผ่านมาตรฐานความปลอดภัยจากการทดสอบการชนทั้ง ด้านหน้าและด้านข้างตามที่ระบุโดยสหประชาชาติเศรษฐกิจและคณะกรรมการยุโรป (UNECE 94 และ 95 ตามลำดับ) ในส่วนของระบบส่งกำลัง บริโอ้มีทั้งแบบธรรมดาและ อัตโนมัติทั้งในรุ่น S และ รุ่น V ขณะที่เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT จะมีเฉพาะในรุ่น V เท่านั้นมิติตัวถังของ บริโอ้ มีความยาว 3610 มม. กว้าง 1680 มม. และสูง 1485 มม. บนฐานล้อ 2345 มม. ฮอนด้าเลือกที่จะลดความสูงและขยายความกว้างของบริโอ้เพื่อเพิ่มความรู้สึก กว้างให้กับรถขนาดเล็กกะทัดรัด และลำตัวสั้นของบริโอ้นอกจากจะช่วยให้การขับขี่คล่องตัวแล้วการจอดรถบนถนน แคบสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้นบริโอ้ มีพื้นที่ใช้สอยในห้องโดยสารและพื้นที่เก็บสัมภาระที่กว้างขวางพอเพียง เพื่อเสริม“ความรู้สึกกว้าง โปร่งสบาย” ประตูบานท้ายช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขนย้ายสิ่งของเข้า-ออกจากพื้นที่ เก็บสัมภาระ ซึ่งสามารถรองรับกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดใหญ่ รถเข็นเด็ก หรือแม้กระทั่งถุงกอล์ฟ ได้อย่างสบาย






           นอกจากนี้ ฮอนด้ายังติดตั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยทั้งแบบเชิงป้องกันและเชิงรับ อาทิ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบกระจายแรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) พร้อมถุงลมคู่หน้า และเข็มขัดนิรภัยชนิดปรับความดึงอัตโนมัติ ล้วนเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในบริโอ้ทุกรุ่น โดยเฉพาะถุงลมคู่หน้าสำหรับคนขับและผู้โดยสารด้านหน้านับว่าเป็นการยก มาตรฐานด้านความปลอดภัยขึ้นอีกระดับหนึ่งสำหรับผลิตภัณฑ์รถยนต์กลุ่มอีโคคา ร์ จุดเด่นที่น่าประทับใจอื่นๆของ บริโอ้ทุกรุ่น มีอาทิ พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า (EPS) ที่นั่งหลังพับเก็บได้พวงมาลัย ปรับระดับได้ ไฟสัญญาณประหยัดเชื้อเพลิง ECO ระบบปรับอากาศ สัญญาณเตือน (สำหรับเบรกมือ กุญแจ ไฟหน้าและเข็มขัดนิรภัย) ระบบล็อกป้องกันเด็ก กุญแจ WAVE ระบบ Immoblizer เข็มขัดนิรภัยและไฟเบรกดวงที่สามแบบ LEDบริโอ้มีสีสันที่สดใสสะดุดตาให้เลือก 5 สี ได้แก่ เขียวเฟรชไลม์ เมทัลลิก, ขาวทาฟเฟต้า, ฟ้าเซรูเลียน(เมทัลลิก), เงินอลาบาสเตอร์(เมทัลลิก) และดำคริสตัล เพิร์ล และตั้งราคา บริโอ้ ไว้ที่ 
รุ่น S เกียร์ธรรมดา 399,900 บาท
รุ่น V เกียร์ธรรมดา 469,500 บาท
รุ่น V เกียร์อัตโนมัติ CVT 508,500 บาท 

24.2.54

Nissan sanny 2011..จะกลับมาโลดเเล่นบ้านเราอีกครั้ง








        ถ้าพูดถึงรถยนต์ Nissan Sanny ที่วางจำหน่ายในบ้านเราเเล้วหละ่ก็คงจะต้องย้อนกลับไปดูเมื่อราวๆประมาณกว่า 10 ปีที่เเล้วซึ้งถือว่าเป็นการเปิดตัวรถยนต์ในตระกูลรถขนาดเล็กในขณะนั้นของทาง Nassan ซึ้งค่อนข้างจะได้รับความนิยมพอสมควรเลยทีเดียวเเม้ว่าช่วง7-8 ปีหลังมานี้ทาง Nissan จะหันมาดัน Nissan Tieda เพื่อออกมาลุยรถยนต์ตลาดรถขนาดเล็กแทน Nissan Sanny เเล้วปรากฏว่าสามารถยืนหยัดต่อสู้อยู่ในตลาดรถเล็กต่อกรกับค่ายรถชั้นนำอื่นๆได้พอสมควรเลยทีเดียวจึงทำให้หลายต่อหลายคนคิดว่าคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นเจ้า Nissan Sanny โฉมใหม่ออกมาโลดเเล่นตามท้องถนนบ้านเราอีกอย่างแน่นอนเเละอีกประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งคือทาง Nissan Tieda ยังมีพัฒนาการหรือการพัฒนาในเรื่องของเทคโนโลยียานยนต์แบบชนิดที่ว่าไม่น้อยหน้ารถยนต์จากค่ายอื่นๆในรุ่นหรือในระดับเดียวกันเเละ Nissan Tieda ก็ยังมียอดขายหรือเเนวโน้มของการเจริญเติบโตที่เป็นไปในทางบวกหรืออาจจะเรียกได้ว่าเจ้า Nissan Tieda เจนเนเรชั่นปัจจุบันนี้ได้เข้ามายึดครองพื้นที่ในส่วนตลาดรถยนต์นั้งขนาดเล็กแทนเจ้า Nissan Sanny เดิมที่เคยครองตลาดรถยนต์นั้งขนาดเล็กของทางค่ายรถยนต์ Nissan มาก่อน ซึ่งอาจจะมีใครๆหลายต่อหลายคนนั้นเเทบจะลืมชื่อของ Nissan Sanny กันไปเลยทีเดียวหรืออาจจะมีหลายๆคนเสียดายที่อาจจะไม่ได้เห็น Nissan Sanny โฉมใหม่ๆออกมาวิ่งโลดเเล่นตามท้องถนนกันเทียบเคียงกับรถยนต์ดังๆของค่ายต่างๆอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้




        มีรายงานอย่างไม่เป็นทางการว่า Nissan เตรียมที่จะยืดเส้นยืดสายในกลุ่มรถเล็กระดับ Eco-Car โดยก่อนหน้านี้มีข่าวคราวว่าจะมีการนำ nissan sunny เข้ามาจำหน่ายอย่างแน่นอนแต่ยังไม่มีกำหนดการณ์ที่แน่ชัด แต่จากข่าวล่าสุดบนเว็บไซต์ล้วงเรื่องลับวงการรถยนต์ชื่อดัง autoincar ได้มีการเปิดเผยว่า ค่ายรถยนต์ Nissan เตรียมที่จะนำรถรุ่นดังกล่าวเข้าสู่ตลาดในประเทศไทยและอินเดียในเร็วๆนี้


เว็บไซต์เดียวกันนี้ยังเปิดเผยต่อไปว่า แม้ Nissan จะมีแผนที่จะนำซีดานชื่อเด็กเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยและอินเดียนั้น แต่ดูเหมือนว่า Nissan จะมีการเปลี่ยนชื่อรุ่นเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในตลาดทั้ง 2 ประเทศ โดยจะใช้ชื่อว่า nissan Almera ในการทำตลาด ซึ่งในอินเดียนี้ก็คาดว่าน่าจะใช้ชื่อเดียวกันในการเปิดตัว เนื่องจากที่ประเทศอินเดียมีมอเตอร์ไซค์รุ่น sunny จากค่าย Bajaj วางจำหน่ายอยู่

            ทั้งนี้สำหรับในประเทศไทย มีความเชื่อว่า Nissan sunny หรือ Nissan almera จะเข้ามาจำหน่ายในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ โดยอาจจะมีการปรับเครื่องยนต์ต่างจากที่จำหน่ายในจีน โดยหันมาใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร เพื่อเข้าตามกฏเกณฑ์รถอีโค่คาร์ในประเทศไทย จากเดิมที่ในจีนวางจำหน่ายในรุ่นเครื่องยนต์ขนาด 1500 ซีซี ซึ่งจากเเนวโน้มของการกลับมาของ Nissan Sanny ในครั้งนี้เเม้ว่าจะไม่ได้มาในรูปลักษณ์ของรถเครื่องยนต์ขนาดกลางและปรู้ดปร้าดเหมือนเดิมที่อาจจะไปทับทางกับทางเจ้า Nissan Tieda ที่กำลังทำการตลาดกันอยู่แต่ Nissan Sanny ก็เรียกได้ว่ากลับมาแบบค่อนข้างที่จะอินเทรนเลยทีเดียวนั้นก็คือ กลับมาในรูปลักษณ์ของรถยนต์ประหยัดพลังงาน (Eco-Car) เพื่อให้เข้ากับยุคของการประหยัดพลังงานหรือยุคพลังงานขาดเเคลนในปัจจุบันเเละเเน่นอนว่าบรรดาเหล่ารถเล็กหรือ อีโค่คาร์ รายอื่นๆที่ออกมาจำหน่ายหรือออกมาวิ่งกันตามท้องถนนของบ้านเราหรือที่กำลังจะออกมาวางขายกันในเร็วๆวันนี้ย่อมจะต้องรู้สึกหนาวๆร้อนๆไปตามๆกันไม่มากก็น้อยเลยทีเดียวกับการหวนกลับคืนมาอีกครั้งของทาง Nissan Sanny ในเจนเนเรชั่น อีโค่ดาร์ ที่ถูกมองว่าจะทำออกมาซ้อนทับกับทางด้านของ Nissan March ที่กำลังจำหน่ายอยู่ในขณะนี้หรือไม่ซึ่งถ้ามองในมุมกลับกันคงจะเป็นเรื่องดีๆมากกว่าที่จะมีรถประหยัดพลังงานที่มีคุณภาพอย่าง Nissan ที่ทำรถยนต์ อีโค่คาร์ ออกมาวางจำหน่ายถึง 2 รุ่นซึ่งจะทำให้เกิดทางเลือกที่ดีของผู้บริโภคที่จะได้รับสินค้าที่ดีมีคุณภาพให้เลือกใช้งาน

















23.2.54

มาดูเทคโนโลยี..FULL HI DEF LCD กัน








           ถ้าพูดถึงเทคโนโลยีของจอโทรทัศน์ในปัจจุบันนี้โทรทัศน์จอเเบนยังคงเป็นเทคโนโลยีพื้นฐาน   ของระบบการแสดงผลภาพอยู่ในขณะนี้ดว้ยการให้ผลของภาพที่สมจริงเเต่ในระยะ 2-3 ปีหลังนี้ปรากฎว่าเทคโนโลยี LCD กำลังเข้ามาแทนทีระบบโทรทัศน์แบบจอแบนเเบบชนิดที่ว่าไม่ติดฝุ่นเลยที่เดียวเจ้าเทคโนโลยีแบบ LCD นี้นอกจากจะให้ภาพที่สมจริงมากๆแล้วยังจะให้ความคมชัดเเบบสุดๆดว้ย เเละเเเน่นอนว่าเทคโนโลยี LCD ก็กำลังจะก้าวเข้ามาแทนที่เทคโนโลยีจอแบนในที่สุด ล่าสุดทางด้านบริษัท LG ได้ทำการคิดค้นเทคโนโลยี LCD ขั้นสูงอีกระดับคือ การสร้างภาพระดับไฮเดฟินิชั่น 3 มิติทะลุจอดังกล่าวจะเป็นของบริษัท LG เอง โดยสามารถให้แสงสว่างได้มากขึ้นเป็น 2 เท่าของจอแอลซีดีสามมิติที่พบเห็นทั่วไป หรือพูดง่ายๆ ก็คือ มันเป็นจอ LCD 3 มิติที่มีความสว่างมากที่สุดในโลกนั่นเอง








ความลับของภาพ 3 มิติทีปรากฎขึ้นบนจอ LCD นั้นเป็นผลมาจากการใช้เทคโนโลยีความต่อเนื่องของเวลา (time-sequential) ของการแสดงภาพเคลื่อนไหว โดยทำให้ตาขวาและตาซ้ายเห็นภาพที่แตกต่างกัน จะทำให้ตามองเห็นภาพเป็น 3 มิติได้ (เทคนิคง่ายๆ ที่หลอกสายตาได้เช่น การแสดงภาพที่ตรงข้ามกัน หรือ horizantal flip สลับไปมาอย่างรวดเร็ว จะทำให้เห็นมิติตื่นลึกของภาพได้) ซึงหากเป็นแอลซีดีทีวีสามมิติทั่วไปจะติดตั้งเทคโนโลยีดังกล่าวไว้ที่แผง ด้านหน้า หรือกระจกใสที่ครอบหน้าจอ เพื่อสร้างมุมมองของภาพที่มีเวลาแตกต่างกัน

แต่สำหรับจอแอลซีดีไฮเดฟินิชั่นรุ่นนี้จะใช้วิธีฝังเทคโนโลยีดังกล่าวเข้าไป ในจอเลย ซึ่งทำให้มุมมองของภาพสามมิติมีความสว่างคมชัดกว่าเดิมที่อยู่ด้านหน้าอีก ชั้นหนึ่ง ที่สำคัญมันสามารถมองดูด้วยแว่นตาโพลาร์ไรซ์ราคาถูกได้อีกด้วย ในขณะที่แบบเดิมต้องใช้แว่นตาชนิดพิเศษที่มีราคาแพงกว่า
 
 
ที่มาข้อมูลจาก

www.arip.co.th

21.2.54

วิธีการตรวจเช็คสีรถ..หลังทำสีใหม่

    






  หลายท่านอาจมีประสบการณ์ในการนำรถเข้าซ่อมสี เเละเมื่อซ่อมแล้วก็อยากรู้ว่าสีที่ซ่อมใหม่จะเป็นอย่างไรโดยเฉพาะสีเมทัลลิก (สีทีมีเม็ดบรอนซ์ผสม) ควรได้รับการดูแลด้วยทีมช่างทีมีความชำนาญและใช้เครื่องมือที่ได้มาตรฐาน ฉะนั้นภายหลังการนำรถเข้าซ่อมสี ควรทำการตรวจเช็คสีรถทั้งในร่มและกลางแจ้งดว้ยขั้นตอนดังนี้

1.  ยืนห่างจากชิ้นงานทีมีการซ่อมสีดว้ยระยะห่างประมาณ 2 เมตร เพื่อให้มองเห็นทั่วทั้งชิ้นงาน

2.  ใช้สายตาตรวจสอบสีโดยทำมุม 45 องศาจากชิ้นงานที่อยู่ติดกันเพื่อตรวจสอบความเหมือนของสี

3.  ใช้สายตาตรวจสอบสีดดยทำมุม 90 องศาจากชิ้นงานที่อยู่ติดกันเพื่อตรวจสอบความเหมือนของสี

4.  สีทีพ่นใหม่ควรมีความใกล้เคียงกับสีเดิมถึงจะนับว่าเป็นงานซ่อมสีที่ดีแต่ถ้าสีที่ซ่อมใหม่แตกต่างจากสีเดิมมากจนเห็นได้ชัด นั้นแสดงว่าการผสมสีเเละการพ่นของช่างซ่อมสียังไม่ดีเท่าที่ควรจึงควรนำเข้าแก้ไขสีใหม่อีกครั้ง

ในส่วนอื่นนอกเหนือจากการตรวจเช็คสีรถหลังจากการนำรถเข้าทำการซ่อมสีนั้น ยังมีวิธีการตรวจเช็คหรืือแก้ไขสีรถในกรณีต่างๆ

1.  รถสีด้าน อาจเกิดจากการที่รถตากเเดดไว้บ่อยๆหรือใช้งานมาเป็นเวลานานโดยขาดการดูแลรักษา วิธีที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ไขรถสีด้านคือ ควรจะนำรถเข้าทำสีใหม่เพื่อให้สีมีความคงทนแต่ถ้าไม่ต้องการทำสีใหม่ให้ใช้ยาขัดสีขัดพื้นผิวบริเวณนั้นโดยต้องเลือกใช้ยาขัดสีให้ถูกกับประเภทงาน การใช้ยาขัดสีจะช่วยได้เพียงแค่การชลอการเสื่อมสภาพของสีเท่านั้นไม่สามารถทำให้ผิวสีกลับสู่สภาพเดิมได้นอกจากนี้การล้างรถก็มีสว่นทำให้รถสีด้านด้วยเช่นกันจึงไม่ควรล้างรถในช่วงที่เพิ่งใช้งานเสร็จขณะที่พื้นผิวของรถยังร้อนอยู่

2.  คราบสติกเกอร์บนสีรถ  รอยคราบที่เกิดจากการลอกสติกเกอร์ที่ติดอยู่บนผิวสีรถนั้นจะมีวิธีการแก้ไขคือ ใช้ยาขัดสีรถแบบละเอียดขัดบริเวณที่เป็นคราบก่อนแล้วใช้แว็กซ์อ่อนขัดตามอีกครั้ง ถ้าสีบริเวณที่ลอกสติกเกอร์ออกนั้นแตกต่างกับผิวสีเดิมมากให้ใช้กระดาาทรายเบอร์ 1200 ขัดบริเวณพื้นผิวนั้นก่อนเเละขัดดว้ยยาขัดละเอียดเเล้วลงแว๊กซ์อีกครั้ง

3. หมั่นดูแลรัษาสีรถ  ตรงจุดนี้น่าจะเป็นจุดสำคัญหรือประเด็นสำคัญที่สุดในการช่วยยืดอายุของสีรถให้อยู่คู่กับอายุของตัวรถได้อย่างยาวนานโดยการหมั่นล้างสีรถเป็นประจำหลังจากล้างและทำความสะอาดสีรถเเล้วก็ควรจะทำการเคลือบสีรถทันทีเพื่อเคลือบบริเวณชั้นผิวของสีรถให้มี่หรือทำให้เกิดชั้น Film เกิดขึ้นเพื่อมาคอยปกป้องชั้นของสีรถไม่ให้เกิดริ้วรอยหรือเกิดรอยด่างดำและถ้าเราหมั่นดูแลรักษาสีรถอย่างเป็นประจำเเล้วหละ่ก็จะทำให้เกิดชั้น Film บางๆเพิ่มสูงมากยิ่งขึ้นและชั้น Film บางๆที่เพิ่มสูงขึ้นนี้จะยิ่งช่วยให้เกิดการปกป้องผิวสีรถที่มีประสิทธิภาพอย่างสูงสุดมากยิ่งขึ้น


ข้อมูลประกอบจาก

www.honda.co.th


18.2.54

เมื่อพวงมาลัยเริ่มหนักผิดปกติ..จะทำอย่างไร






        โดยปกติรถยนต์ที่เราใช้งานกันนั้นจะมีระบบบังคับเลี้ยวหรือพวงมาลัยแบบมีระบบผ่อนเเรง (ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์) เพื่อช่วยให้สามารถบังคับรถได้อย่างง่ายดายและเบาแรงซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากเราใช้งานไปนานๆหรือรถของเราเริ่มเก่าลงระบบต่างๆเหล่านี้เเน่นอนก็ย่อมจะเริ่มเสื่อมสภาพตามลงเช่นกัน โดยจะเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับระดับการใช้งานของผู้ใช้ด้วยเช่นกันหรือจะเรียกได้ว่าอาจจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้รถด้วยว่ามีพฤติกรรมอย่างไรที่อาจจะส่งผลเสียถึงการทำงานของระบบบังคับเลี้ยวหรือระบบพวงมาลัยได้เช่น การบังคับพวงมาลัยให้เลี้ยวกระทันหันในขณะความเร็วของตัวรถยังสูงอยู่หรือการหักพวงมาลัยแบบสุดวงบังคับเลี้ยวบ่อยๆนั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุให้พวงมาลัยเิกิดอาการสึกหรอหรือเกิดการหลวมหรือคลอนบริเวณข้อต่อหรือคันชักได้เป็นธรรมดาซึ่งการเเก้ไขเบื้องต้นก็คือต้องหมั่นนำรถเข้าตรวจเช็คเป็นประจำเผื่อว่าถ้ามีอาการผิดปกติหรือตรวจพบสาเหตุของปัญหาจะได้หาทางแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนได้ทันท่วงทีก่อนที่ผู้ใช้งานจะนำรถออกไปขับขี่ตามท้องถนนเป็นปกติ


ระบบบังคับเลี้ยวในรถยนต์หรือจะเรียกว่าระบบพวงมาลัยก็ได้ สามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ

1.  ระบบพวงมาลัยแบบไฮดรอลิค (Hydraulic Power Steering)
2.  ระบบพวงมาลัยแบบไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering)

นั้นการใช้แบบใดนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของรถยนต์แต่ละ่รุ่นที่โรงงานได้ออกแบบมาตั้งแต่แรก โดยที่อาการของพวงมาลัยที่ทำงานหนักผิดปกตินั้นอาจมีสาเหตุมาจาก

1.  เเรงดันลมยางอ่อนกว่าปกติ หรือกรณีเปลี่ยนล้อคู่หน้าใหม่เพื่อเพิ่มความกว้างของหน้ายางให้มีขนาดใหญ่มากขึ้นซึ่งจะทำให้หน้ายางสัมผัสกับถนนมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม เป็นผลทำให้พวงมาลัยหนักผิดปกติ

2.  ศูนย์ล้อของรถผิดไปจากมาตรฐานของโรงงาน

3.  ท่อทางเดินน้ำมันเพาเวอร์และวาล์วน้ำมัน เกิดอุดตันจากสิ่งสกปรกที่ปะปนมากับน้ำมันอาจทำให้ตัวปั้มเกิดสึกหรอ และอายุการใช้งานสั้นลง

4.  ระดับน้ำมันเพาเวอร์ในกระปุกต่ำกว่าขีดต่ำสุด (Lower Level) ซึ่งอาจเกิดจากการรั่วซึมของน้ำมันเพาเวอร์ ตามชิ้นสว่นต่างๆ เช่น ท่อน้ำมันแรงดันสูง,ท่อน้ำมันแรงดันต่ำ,ปั้มพวงมาลัยเพาเวอร์,แร็คพวงมาลัย,เป็นต้น โดยสังเกตไ้ด้จากรอยน้ำมันที่หยดลงบนพื้นที่จอดหรือให้สังเกตจากเสียงดังขณะเลี้ยวหรือการหมุนพวงมาลัยวึ่งหากเกิดจากน้ำมันเพาเวอร์พร่องเกินขีดที่กำหนดก็มีโอกาสที่จะทำให้อากาศเข้าสู่ระบบไฮดรอลิคในกรณีเช่นนี้ อาจเกิดความเสียหายต่อปั้มพวงมาลัยเพาเวอร์ได้

5.  การใช้น้ำมันเพาเวอร์ผิดประเภท ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้พวงมาลัยหนัก เพราะลักษณะเฉพาะของระบบบังคับเลี้ยวรถยนต์แตกต่างกันดังนั้นน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ในรถยนต์แต่ละ่รุ่นแต่ละ่ยี่ห้อนั้นจึงไม่เหมือนกันและไม่สามารถใช้ชนิดเดียวกันได้ถึงแม้ข้างกระป๋องจะเขียนว่าเป็นน้ำมันเพาเวอร์เหมือนกัน

6.  ข้อต่ออ่อนบนแกนพวงมาลัยเกิดเสื่อมสภาพหรือเสียหายรวมถึงระบบชว่งล่าง อาจเกิดได้กับรถยนต์ที่ขาดการบำรุงรักษาและไม่ค่อยได้รับการตรวจเช็ค ทำให้พวงมาลัยหนัก พวงมาลัยไม่ตีกลับ

7.  มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานผิดปกติ (เฉพาะรุ่นที่เป็นพวงมาลัยไฟฟ้า EPS) หากตรวจสอบพบว่ามีสัญลักษณ์ไฟเตือนพวงมาลัยไฟฟ้า(สีส้ม) ติดสว่างขึ้นบนมาตรวัดในขณะขับขี่ควรเพิ่มความระมัดระวังในการควบคุมรถ เนื่องจากพวงมาลัยจะหนักกว่าปกติ

16.2.54

2011นี้เจอแน่..HONDA JAZZ SHUTTLE ใหญ่กว่าเดิม

   





            ชื่อของ Honda Jazz ในบ้านเรานี้ค่อนข้างที่จะติดหูและคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ในระยะ 5-6 ปีมานี้โดยเป็นรถทีมีคอนเซ็ปที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นอย่างมากนั้นก็คือ ด้วยรูปทรงที่กระทัดรัดแต่ปราดเปรียวประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยมีการปรับโฉมกันมาเป็นระยะๆล่าสุดทางบริษัท Honda ประเทศ ญี่ปุ่นกำลังจะส่ง Honda jazz/fit shuttle ซึ่งเป็น Honda jazz รูปทรงเเบบสเตชั่นวากอน โดยมีจุดเด่นอยู่ที่รูปทรงที่ยาวเเละกว้างขวางกว่า Honda jazz ปกติมากซึ่งเเตกต่างจากภาพลักษณ์ของเจ้ารถยนต์ Honda Jazz ที่หลายๆคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีโดยคอนเซ็ปของการเปลี่ยนแปลงรูปทรงในครั้งนี้นอกจากจะหวังผลในเรื่องของยอดจำหน่ายที่เพิ่มสูงมากขึ้นจากที่เป็นอยู่แล้วยังจะเป็นการแหวกตลาดรถยนต์นั้งขนาดเล็กให้ดูดีหวือหวาและสร้างสีสันให้กับตลาดรถยนต์ในระเเวกเอเชียโดยการเปลียนแปลงของ Honda Jazz/fit Shuttle ในครั้งนี้นั้นน่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเเละสูงเป็นอย่างมากสำหรับตลาดรถยนต์นั้งบ้านเราในขณะนี้เเละสิ่งที่เเตกต่างจากค่ายรถยนต์นั้งคู่แข่งรายอื่นๆเเล้วหละ่ก็ที่หันมาผลิตรถในลักษณะเเบบนี้โดยไม่คงรูปทรงหรือโครงสร้างเดิมของรถไว้เลยไม่ว่าจะเป็น Wish ของค่าย Toyota หรือจะเป็น Mitsubishi Station Wagon ของทางค่าย Mitsubishi เองโดยที่ทาง Honda ไม่ได้ที่จะยึดเเนวทางของทางค่ายอื่นๆหรือรูปแบบของทางค่ายอื่นๆ






            Honda Jazz รุ่นใหม่ล่าสุด เวอร์ชั่นแบบสเตชั่นแวกอน Station Wagon ซึ่งเป็นรถมินิแวนขนาดเล็ก โดยได้ปรับโฉมรถเก่งขนาดเล็กให้มีรูปทรงขยายใหญ่ขึ้นซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Honda ประเทศญี่ปุ่นเปิดเผยราคารถรุ่น  Honda Fit Shuttle แล้ว ยันมีรุ่นไฮบริด ซึ่งพร้อมที่จะลงตลาดอย่างแน่นอนในเดือนมีนาคม 2554 นี้ 

Honda ระบุว่า Honda Jazz / fit Shuttle ใหม่นี้จะมีราคาเริ่มต้นที่ 1,650,000 เยน หรือ610,500บาท เมื่อคิดตามอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน(07-02-2011)สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ทั่วไปและในเวอร์ชั่นเครื่องยนต์ไฮบริดนั้นจะมีราคาจำหน่ายที่ 1,850,000 เยน หรือคิดเป็นเงินไทยที่ประมาณ 684,500 บาท

       ทั้งนี้ Honda Jazz/ fit Shuttle ยังมีการแบ่งเกรดลงไปอีกเป็นรุ่น 15C และ Hybrid C ที่ตอบสนองสำหรับการใช้งานในกลุ่มธุรกิจต่างโดยจะมีราคาต่ำกว่ารุ่นทั่วไป ประมาณ 40,000 เยน หรือประมาณ 14,800 บาท และในส่วนของรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อนั้นจะมีให้ลูกเลือกเช่นกันแต่จะมีเฉพาะในกลุ่มเครื่องยนต์เบนซินธรรมดาเท่านั้นที่มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,825,600 เยน หรือ 674,572 บาทไทย
อย่างไรก็ดีในวงการสื่อสายรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า Honda Jazz/ Fit Shuttle นี้อาจเป็นตัวตายตัวแทนในรุ่น Honda Airwave ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน ซึ่ง Honda ได้ผลิตรถรุ่นดังกล่าวมาตอบสนองกลุ่มผู้มีครอบครัว ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับ Honda Jazz/ Fit Shuttle ที่ฮอนด้าได้วางเอาไว้เเต่ต้นทุนการผลิตที่เเน่นอนน่าจะต่ำกว่าทาง Honda Airwave เเต่ดูดีมีสไ้ตล์ตามเอกลักษณ์ของทาง Honda jazz ซึ่งคาดการณ์ว่าถ้าทาง Honda Jazz/Shuttle ถูกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเมื่อไหร่เเล้่วก็คงจะได้รับการตอบรับจากเหล่าบรรดาแฟนคลับ Honda Jazz ในเมืองไทยอย่างแน่นอนเเละยังจะได้กลุ่มลูกค้าใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีกดว้ยนั้นก็คือกลุ่มนักเดินทางแบบครอบครัวที่จะหันมาสนใจ Honda Jazz/Shuttle มากยิ่งขึ้น

ที่มาข้อมูล

www.sanook.com




15.2.54

ฮุนได โซนาต้า สปอร์ต..พร้อมถึงไทยเเ้ล้ว







           ถ้าพูดถึงรถยนต์นั้งจากเเดนกิมจิในบ้านเราแล้วหละ่ก็คงจะมีเพียงไม่กี่ยี่ห้อเท่านั้นที่เราๆท่านๆทราบกันดีไม่ว่าจะเป็น เกีย ซันยองหรือ ฮุนได โดยเฉพาะรายหลังอย่างฮุนไดที่สร้างชื่อเสียงไว้ที่บ้านเราเมื่อหลายปีก่อนก่อนที่จะเงียบหายไปและกลับมาเปิดตัวอีกทีแบบระดับ HI CLASS เรียกว่าคุณภาพคับแก้วกันเลยทีเดียวเเต่สำหรับชื่อของค่ายรถยนต์จากเเดนกิมจิรายนี้ถ้าเป็นทางฝั่งยุโรปหรืออเมริกาเเล้วหละ่ก็ถือว่าอยู่ในระดับขั้นของค่ายรถยนต์ที่มีชื่อเสียงติดหูหรือติดตลาดกันเลยทีเดียวเป็นเพราะว่าตลาดรถยนต์ทางฝั่งยุโรปเเละอเมริกานั้นค่อนข้างที่จะบูมมากกว่าทางฝั่งตลาดเอเชียหรือในระเเวกใกล้เคียงยกตัวอย่างเช่นค่ายรถชั้นนำที่ผลิตรถยนต์ป้อนสู่ตลาดเอเชียหรือเเม้เเต่บ้านเราก็ตามทีที่จะเน้นผลิตรถยนต์ออกมาโดยมีรูปร่างสวยงามเเละปราดเปรียวกันซะส่วนใหญ่ต่างกับทางค่าย Hyundai ที่ผลิตรถยนต์โดยมีรูปร่างใหญ่บึกบึนเเละมีรูปร่างหน้าตาที่ดูขรึมซึ่งเป็นสไตล์รถยนต์ของทางฝั่งค่ายรถยนต์ทางยุโรปและอเมริกาแต่ก็ใช่ว่าทางด้าน Hyundai ค่ายรถยนต์ชื่อดังจากแดนกิมจิจะถอดใจกับสายการผลิตรถยนต์ในระเเวกเอเชียหรือบ้านเราซะเลยทีเดียวโดยในช่วงปี 2 ปีนี้ก็ได้เข็นรถใหม่ออกมาลงตลาดในบ้านเราอยู่หลายๆรุ่นด้วยกันที่สำคัญยังจะมีหลายๆสไตล์ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นเเนว สปอร์ตอย่าง Hyundai Scupe หรือจะเป็นเเนว SUV อย่าง Hyundai Santafe ทีทำออกมาได้อย่างลงตัวเเละมีคุณภาพเป็นที่น่าเชื่อถือและท้ายสุดกับเจ้า Hyundai Sonata ที่ทำออกมาแบบชนิดที่ว่ายังคงรักษาเอกลักษณ์ความเรียบง่ายแต่คงความหรูหรามีระดับไว้เช่นเคย ล่าสุดทาง ฮุนไดมอเตอร์ได้ออก ฮุนได โซนาต้า สปอร์ต เเบบซีดาน 4 ประตู หรูหรามีระดับพร้อมลงโชว์รูมอวดโฉมในไทยอีกไม่นานเกินรอโดยฉีกเเนวความเรียบง่ายจำเจจากเจ้า Hyundai Sonata เดิมที่ทำออกมาวางจำหน่ายกันเมื่อปีก่อนแบบชนิดที่ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงไม่ว่าจะเป็นหน้าตาที่ดูดุและหล่อเหลาเอาการกว่าหรือจะเป็นรูปทรงที่ไม่ดูเรียบง่ายเหมือนกับรุ่นก่อนๆและที่แตกต่างกันอีกอย่างหนึ่งก็คงจะหนีไม่พ้นในส่วนของราคาค่าตัวของเจ้า Hyundai Sonata Sport ที่คงจะมีราคาค่าตัวที่สูงกว่ารุ่นเดิมโดยถ้ามองถึงการแลกมาด้วยคุณภาพที่เพิ่มมากขึ้นเเล้วก็คงจะคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่งกับการลงทุนของทาง Hyundai ในครั้งนี้

          ทั้งนี้ บริษัทฮุนไดเปิดเผยว่าบริษัทเตรียมนำรถรุ่นดังกล่าวออกวิ่งทดสอบก่อนที่จะให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับในช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้ ในขณะที่การจับจองรถรุ่นนี้จะเริ่มเปิดให้ผู้ที่สนใจจองได้ภายในงาน Bangkok International Motor Show 2011 โดยมั่นใจว่ารถรุ่นใหม่นี้จะได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า สำหรับ all New Hyundai Sonata Sport นี้ นับเป็นสปอร์ตซีดานในสไตล์คูเป้ที่ลงตัวด้วยความทันสมัยและมีบุคลิกที่โดดเด่นด้วยการออกแบบภายใต้แนวคิด Fluid Sclpture design ที่เป็นมาตรฐานการออกแบบใหม่ของรถยนต์จากค่ายรถยนต์เกาหลีรายนี้

           แม้จนถึงตอนนี้รายละเอียดเกี่ยวกับรถจะยังไม่มีการเปิดเผยออกมาแต่จากภาพที่ได้มาทั้ง 5 ทำให้เราได้เห็นเรือนร่างที่ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นโดยเฉพาะใบหน้าที่มีความสปอร์ตอยู่เต็มตัว พร้อมโคมไฟหน้าแบบ Projector ที่ลงตัวด้วยกระจังหน้าแบบโครเมี่ยมให้ความหรูหราไปพร้อมกันด้านข้างรถรุ่นนี้มาพร้อมตัวถังแบบ 4 ประตู ตามแบบฉบับรถนั่งซีดานในขณะที่บั้นท้ายลงตัวด้วยไฟท้ายดีไซน์สปอร์ตส่วนเรื่องเครื่องยนต์คาดว่าน่าจะเป็นเครื่องยนต์ Theta II ขนาด 2.4 ลิตรที่ตอบสนองการขับขี่ด้วยระบบเกียร์อัตโนมัต 6 สปีด ในที่สุดก็ได้เวลาสักทีที่รถรุ่นนี้จะตะลุยเมืองไทยหลังเมืองนอกปล่อยขายไปได้ระยะหนึ่งแล้ว New! Hyundai Sonata นัน เป็นรถที่ได้รับการยอมรับทั่ว โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดอเมริกา ที่ล่าสุดสามารถผงาดขึ้นมายืนอยู่ในตลาดอันดับที่ 2 ได้ เป็นรองแค่ toyota เท่านั้น















14.2.54

เมื่้อสองศาสตร์..จับมือกันสร้างสรรค์นาฬิกา






          ดนตรีและแฟชั่นเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดกันเสมอ สีสันของวัฒนธรรมทางดนตรีส่งผลต่อแรงบันดาลใจของดีไซเนอร์และศิลปินเองก็ ต้องการสื่อตัวตนออกมาโดยใช้แฟชั่น

เมื่อแบรนด์นาฬิกาและจิวเวลรี่ ระดับโลกอย่าง กุชชี่ จับมือกับเดอะ เรคอร์ดดิ้งอคาเดมี่ องค์กรดนตรีที่มีชื่อเสียงออกคอลเลคชั่นพิเศษ “แกรมมี่ คอลเลคชั่น” เป็นการผสมผสานอย่างมีเอกลักษณ์ระหว่างดนตรีและแฟชั่น โดย ฟรีด้า เจียนนินี่ ครีเอทีฟ ไดเร็คเตอร์ของกุชชี่

เริ่มจากนาฬิกาที่มีรูปลักษณ์อันทันสมัยซึ่งได้แรงบันดาลใจจากความหลงใหลในเสียงดนตรี ผลิตในคอลเลคชั่น ไอ-กุชชี่ ซึ่งเป็นนาฬิกาดิจิตอลคอลเลคชั่นแรกของกุชชี่และเป็นที่ประทับใจของคนรัก นาฬิกาทั่วโลกเพราะนอกจากรูปลักษณ์อันสะดุดตาแล้วยังมีคุณสมบัติที่หลากหลาย สามารถแสดงเวลาของ 2 สถานที่และวันที่ได้พร้อมกัน ขนาดใหญ่ดูเวลาสะดวกขอบหน้าปัดสีดำล้อมด้วย พีวีดี แสตนเลส-สตีลสีเหลืองทอง สายนาฬิกาสไตล์สปอร์ตทำจากยางมีให้เลือกทั้งสีขาวและสีดำประทับโลโก้ของกุชชี่และแกรมมี่บนสายส่วนด้านหลังของตัวเรือนประทับโลโก้แกรมมี่ อวอร์ด นอกจากนี้ยังมีรุ่นที่ประดับเพชรรอบหน้าปัด 55 เม็ด รวม 1.37 กะรัตเพิ่มความหรูหราสง่างาม

นอกจากนาฬิกาแล้วในคอลเลคชั่นพิเศษนี้ยังมีเครื่องประดับเงินในรูปแบบแท็กห้อยคอ 4 รูปแบบ ทั้งสีเงิน สีดำ หรือประดับเพชร โดยมีหีบเพลงสัญลักษณ์ของแกรมมี่ อวอร์ดที่ทำจากทอง18เคอยู่ตรงกลาง ด้านล่างเป็นโลโก้กุชชี่หากชอบประกายระยับของเพชรก็มีรุ่นที่ประดับเพชรเม็ดเล็กๆ 16 เม็ดรอบหีบเพลง รวม 0.16 กะรัตให้เลือก

        การร่วมมือกันระหว่างกุชชี่และเดอะเรคอร์ดดิ้ง อคาเดมี่ในครั้งนี้ถือเป็นความตั้งใจของกุชชี่ในการอนุรักษ์ศิลปะ เพราะเดอะ เรคอร์ดดิ้ง อคาเดมี่เป็นองค์กรทางดนตรีที่มีชื่อเสียง นอกจากจะจัดงานแจกรางวัลแกรมมี่ให้กับศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานทางดนตรีแล้ว ยังส่งเสริมวัฒนธรรมและคุณภาพชีวิตของผู้ประกอบอาชีพในวงการและตลาดดนตรี พร้อมทำหน้าที่สำคัญในการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบอาชีพทางดนตรีอีกด้วย
ที่มาข้อมูลจาก
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
dnshopaholic@gmail.com

เทคโนโลยีเเอนดรอยด์..ยกระดับสมาร์ทโฟน





          เมื่อพูดถึง แอนดรอยด์ ผู้ใช้หลายคนอาจจะสงสัยว่าคืออะไร วันนี้เราจะมาเฉลยทุกข้อสงสัย สำหรับแอนดรอยด์ว่าคืออะไรและมีที่มาที่ไปอย่างไรจะได้ตามเทรนด์กระแส ในยุคเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้

แอนดรอยด์ (Android) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับโทรศัพท์มือถือ ทำงานบนลินุกซ์ เคอร์เนล พัฒนาโดยบริษัทกูเกิล และ Open Handset Alliance ทางกูเกิลได้เปิดให้นักพัฒนาสมามารถแก้ใขโค๊ตต่างๆ ด้วยภาษาจาวา และควบคุมอุปกรณ์ผ่านทางชุด Java libraries ที่กูเกิลพัฒนาขึ้น

แอนดรอยด์ได้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 โดยทางกูเกิลได้ประกาศก่อตั้ง Open Handset Alliance กลุ่มบริษัทฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์ และการสื่อสาร 48 แห่ง ที่ร่วมมือกันเพื่อพัฒนามาตราฐานเปิดสำหรับอุปกรณ์มือถือลิขสิทธิ์ของโค๊ตแอนดรอยด์นี้จะใช้ในลักษณะของซอฟต์แวร์เสรี
ตั้งแต่วันที iPhone เผยโฉมอวดสายตาชาวโลก ผู้ใช้ต่างก็แห่แหนจับจองเป็นเจ้าของแก็ดเจ็ตที่แสนเซ็กซี่ของแอปเปิ้ลกันอย่างไม่ลืมหูลืมตาจนทำให้มือถือน้องใหม่สามารถเกิดในตลาดได้อย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งเบอร์หนึ่งอย่างโนเกียยังต้องหันมาเอาดีทางด้านการออกแบบที่เน้นแฟชั่นบ้างเหมือนกัน นอกจากนี้สมรภูมิสมาร์ทโฟนยังทะลุจุดเดือดขึ้นไปอีก เมื่อ Palm Pre และ Blackberry Bold เผยโฉมออกมา อย่างไรก็ตามคู่แข่งในตลาดที่ดูอาจจะเป็นม้ามึด เพราะได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตมือถือหลายค่ายอย่าง Android ย่อมต้องมีดีมิใช่น้อย ไม่เช่นนั้นเราคงจะไม่เห็นมือถือรุ่นใหม่ๆที่ทะยอยกันออกมาใช้โอเอสตัวนี้อย่างต่อเนื่อง ว่าแต่ ทำไมบริษัทเหล่านี้จึงปักใจเชื่อว่า ระบบปฏิบัติการมือถือแบบเปิดจะช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขันให้กับพวกเขา สิบเหตุผลต่อไปนี้อาจให้คำตอบกับคุณได้





มาตรฐานเปิด จุด เด่นที่แตกต่างของการเป็นโอเพ่นซอร์สของแอนดรอยด์ก็คือ การไม่ผูกติดกับมือถือของผู้ผลิตเจ้าใดเจ้าหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็น iPhone ของ Apple มาตรฐานที่ใช้ก็ต้องมาจากแอปเปิ้ลเท่านั้น รวมถึงแอพพลิเคชันที่ต้องผ่านการ approved จากทางแอปเปิ้ลอีกด้วย ซึงคำว่า”มาตรฐานเปิด”ทำให้มือถือแอนดรอยด์เปิดกว้างสำหรับสิ่งใหม่ๆได้มากกว่า แอพพลิเคชันที่พัฒนาได้ง่ายกว่าเพราะมีข้อมูลให้ค้นคว้ามากมาย รวมถึงการพัฒนาอุปกรณ์เสริมต่างๆ อีกด้วย
* แอพพลิเคชัน มากกว่า แม้วันนี้ iPhone จะเป็นจ้าวแห่งแอพพลิเคชันบนมือถือแต่เชือว่าด้วยความเป็นมาตรฐานเปิดจะทำให้มีนักพัฒนามากมายจากทั่วโลกให้ความสนใจที่จะทำแอพฯบนแอนดรอยด์ซึ่งผลที่ตามมาก็คือผู้ใช้จะมีทางเลือกในการใช้แอพฯมากขึ้นโอกาสเติบโตของแอพพลิเคชันบนนี้จึงไม่มีข้อจำกัดเหมือน iPhone ที่ต้องผ่านการพิจารณาจาก Apple เท่านั้น

ระบบรักษาความ ปลอดภัย เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นประเด็นใหญ่สำหรับการใช้มือถือฉลาดๆ อย่างสมาร์ทโฟน เพราะมันคือคอมพิวเตอร์ที่รันโปรแกรมโทรศัพท์ดีๆนั่นเองซึ่งในสภาพแวดล้อมของ Open Source เรื่องของการอัพเดตถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดโดยเฉพาะเรื่องของความปลอดภัยซึ่งหากสังเกตจะพบว่าเวลาที่มีการพบช่องโหว่ชุมชนโอเพ่นซอร์สจะจัดทำอัพเดตออกมาอย่างรวดเร็วแตกต่างจากองค์กรธุรกิจที่จะต้องมีการตรวจสอบพิจารณาก่อนที่จะเริ่มดำเนินการแก้ไข
* ปรับแต่งการทำงานได้อย่าง ยืดหยุ่น สำหรับผู้ใช้ระดับแอดแวนซ์ ความต้องการในความสามารถของการปรับแต่งการทำงานได้อย่างยืดหยุ่นจะอยู่ใน อันดับต้นๆ ในขณะที่ iPhone จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้มีโอกาสปรับแต่งการทำงานน้อยมาก แม้กระทั่งอินเตอร์เฟซของการทำงาน ในขณะที่โอเอสมือถือทีเป็นโอเพ่นซอร์สจะมีช่องทางในการปรับแต่งการทำงาน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการ และความถนัดในกาใช้งานของผู้ใช้ได้มากกว่า







* ความ สามารถในการเชื่อมต่อ ประเด็นนี้ไม่ได้หมายถึงการเชื่อมต่อกับ เครือข่าย 3G, EDGE หรือ WiFi แต่เป็นเรื่องของการเชื่อมต่อการทำงานร่วม (sync) กับพีซี หากเป็น iPhone ทุกอย่างต้องทำผ่าน iTunes ความพยายามที่จะทำอะไรนอกแอพพลิเคชันตัวนี้ อาจทำให้ต้องเผชิญกับสิ่งไม่คาดฝัน ในขณะที่มือถือที่ใช้โอเอสระบบเปิด คอมพิวเตอร์จะมองเห็นเป็นสตอเรจตัวหนึ่งที่สามารถเข้าไปจัดการได้อย่างง่าย ดาย

* ราคา การใช้แอนดรอยด์เป็นระบบปฏิบัติการให้กับสมาร์ทโฟนจะทำให้ต้นทุนของมือถือต่ำลงกว่าใช้โอเอสระบบปิดที่ต้องเสียค่าไลเซนส์ ดังนั้นราคาของมือถือแอนดรอยด์จึงมีแนวโน้มที่จะถูกกว่าสมาร์ทโฟนของเจ้า อื่นๆ อย่างแน่นอน

ความสามารถในการทำหลายงานพร้อมกัน แอนดรอยด์จะทำให้ผู้ใช้สามารถเปิดแอพฯหลายตัวทำงานได้พรัอมกันอย่างสมบูรณ์ โดยไม่มีการขัดแย้งการทำงานระหว่างกัน โดยเฉพาะในขณะทีต้องใช้ฟังก์ชันโทรศัพท์ไปพร้อมๆ กับการรันแอพฯตัวอื่นๆ
* Push Gmail แอพพลิเคชันบน Google ส่วนใหญ่จะทำงานร่วมกับแอนดรอยด์ได้ราวกับเป็นเนื้อเดียว การใช้บริการ Gmail บนมือถือแอนดรอยด์จึงง่ายมาก ผู้ใช้ไม่ต้องเปิดแอพฯ เพื่อรอโหลด Gmail เหมือนสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ เพราะเมล์ไคลเอ็นต์อยู่ในระบบปฏิบัติการ พอเปิดแอพฯปุ๊บก็รับเมล์ได้ทันที
* นักพัฒนา ข้อนี้ แทบไม่ต้องอธิบายอะไรมาก นักพัฒนากลุ่มโอเพ่นซอร์สมีอยู่ทั่วโลก ต่างพร้อมที่จะพัฒนาสร้างสรรค์ แอพพลิเคชันใหม่ๆให้เกิดขึ้นตลอดเวลาโดยไม่ย่ำอยู่กับที่และที่สำคัญคอยรับฟังเสียงเรียกร้องของความต้องการจากผู้ใช้เป็นหลักในการ พัฒนาสร้างสรรค์แอพฯใหม่ๆ ซึ่งมาตรฐานเปิดของ Android จะทำให้นักพัฒนาอยากทำให้มือถือทำอะไรได้มากกว่าที่เราได้ใช้กันอยู่ทุก วันนี้อย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย
* ความคิดสร้างสรรค์ ประเด็น นี้จะเป็นผลต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว เนื่องจากความเป็นมาตรฐานเปิด ทำให้ไม่ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์เชื่อว่าแอพฯที่เราไม่เคยคาดคิดว่ามันจะอยู่ในมือถือได้ จะมีให้เห็นเมื่อสมาร์ทโฟนที่ใช้แอนดรอยด์แพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆตัวอย่างเช่น การมีเว็บเซิร์ฟเวอร์บนมือถือ หรือ CMS เก่งๆตลอดจนระบบรักษาความปลอดภัยที่ใช้ Biometric ความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้ นอกจากจะเป็นประโยชน์กับผู้ใช้แล้ว มันยังช่วยให้บริษัทผู้ผลิตมือถือมีโอกาสพัฒนาต่อยอดได้อีกมากมายอีกด้วย

มี่มาข้อมูลจาก

www.isnhotnews.com
วิเคราะห์รถใหม่
NEW TOYOTA PRIUS เป็นรถยนต์นั้งอเนกประสงค์แบบสมบูรณ์แบบโดย TOYOTA PRIUS นี้ถูกผลิตขึ้นมาโดยมีพื้นฐานหรือต่อยอดมาจากรถยนต์ TOYOTA WISH แต่ TOYOTA PRIUS ได้เพิ่มการทำงานของระบบขับเคลื่อนมาเป็นแบบ HYBRID เพื่อเน้นทางด้านของการอนุรักษ์และการประหยัดพลังงานเป็นหลักแต่ในส่วนของ อัตราการขับเคลื่อนหรืออัตราการเร่งแซงไม่ได้ลดน้อยถอยลงแต่อย่าง
NEW HONDA BRIO เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการปรหยัดพลังงานเป็นอย่างมาก เพราะเป็นรถยนต์ที่ผลิตมาโดยอาศัยมาตรฐานรถยนต์ " อีโคคาร์ " เป็นเกณฑ์ในการผลิตจึงมั่นใจได้ว่าสามารถลดการใช้พลังงานหรือเผาผลาญได้ อย่างแน่นอนโดยสเปกหรือภาพโดยรวมของตัวรถเนี้ยจะเป็นรถยนต์ที่อยู่ในตระกูล รถยนต์ซิตี้คาร์หรือมี
วิเคราะห์รถยนต์มือสอง
MITSUBISHI STRADA 4WD ปี 2000 Mitsubishi Strada 4WD เป็นรถเเนวออฟโรดที่น่าเล่นอีกรุ่นหนึ่งเเละถือว่าเป็นรถยนต์ที่ออกแบบมามี รูปร่างหน้าตาที่ดูใช้ได้มีเส้นสายที่ลงตัวโดยมีขุมกำลังแบบ ดีเซลขนาด 2.8 ซีซี ซึ่งถือว่าค่อนข้างแรงในขณะนั้นเเละพาลให้มีอัตราการกินน้ำมันที่พอดูเลยที เดียวที่ประมาณ 10 Km/ลิตร มีน้ำหนักตัวที่หนัก
CHEVROLET AVEO ปี 2007 เชฟโลเลต อาวีโอ่ เป็นรถยนต์นั้งขนาดเล็กเเต่คุณภาพไม่ได้เล็กตามตัวไปดว้ยโดยเป็นรุ่นที่ ถูกออกแบบมาขนาดกระทัดรัด (ไม่เล็กจนเกินไป) คุณภาพของวัสดุถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐาน โดยมีขุมกำลังขนาดย่อมที่ 1.4 ซีซี เน้นการประหยัดพลังงานเเละมีอัตราการกินน้ำมันที่ประมาณ 14-15 Km/ลิตร
รวมคลิปวิดีโอรถยนต์

ดูบทความเก่าย้อนหลัง