26.3.54

เมื่อสองรถยนต์มหาชนมาเจอกัน VIOS ปะทะ CITY ..ใครจะอยู่ใครจะไปในเปรียบมวย





            ถ้าพูดถึงพฤติกรรมของการใช้รถยนต์ในบ้านเราแล้วหละ่ก้จะสังเกตได้ว่ารถยนต์นั้งระดับกลางนั้นจะค่อนข้างได้รับความนิยมค่อนข้างสูงตามค่านิยมเเละเศรษฐกิจของประเทศฉะนั้นจึงไม่เป็นเรื่องที่แปลกตาเลยถ้าเราจะเห็นรถยนต์ระดับกลางๆมาวิ่งโลดแล่นตามท้องถนนของบ้านเราแบบเกลื่อนกลาดเต็มไปหมดและก็จะมีเพียงรถยนต์ไม่กี่ยี่ห้อเท่านั้นที่จะสามารถครองใจผู้ใช้รถใช้ถนนในบ้านเราได้อย่างทะลักทะล้นเป็นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงเรื่อยมาเป็นเวลานานนับสิบปีได้อย่าง 2 ค่ายรถยนต์ที่ถือว่ายิ่งใหญ่ในระดับโลกและได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในเมืองไทยนั่นก็คือค่าย TOYOTA และก็ค่าย HONDA ที่ต่างคนก็ต่างสรรหาทีเด็ดทีขาดปล่อยรถยนต์รูปแบบต่างๆออกมาห่ำหั่นกันอยู่ตลอดเวลาชนิดที่ว่านาทีต่อนามีกันเป็นประจำมาถึงคราวนี้เราจะมาวัดกันเลยว่ารถยนต์นั้งระดับกลางขวัญใจมหาชนชาวไทยอย่าง TOYOTA VIOS ที่จะมาวัดกันกับรถยนต์นั้งคู่แข้งคนสำคัยในรุ่นเดียวกันอย่าง HONDA CITY ซึ่งใครจะอยู่ใครจะไปคงจะเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินเพราะเรียกได้ว่าเป็นรถที่มีการออกแบบในเรื่องของรูปทรงรูปลักษณ์หรือแม้กระทั้งพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีที่ต่างก็กินกันแทบไม่ลงและถ้าจะมาวัดกันในส่วนของอุปกรณ์ตกแต่งกันแล้วหละ่ก็ต่างก้มีดีไม่แพ้ทางกันเช่นกันไม่ว่าจะเป็นพัธมิตรของค่าย TOYOTA อย่างชุดแต่ง TRD หรือจะเป็นพันธมิตรของทางค่าย HONDA อย่าง MODULO หรือ MUGEN ต่างก็พยายามสรรหาหรือพยายามออกแบบชุดแต่งมีระดับป้อนให้กับบรรดา 2 ผู้ผลิตรายใหญ่นี้อย่างต่อเนื่อง

มิติและน้ำหนักของตัวรถ


        ถ้ามาดูทางด้านของมิติหรือน้ำหนักของตัวรถทั้งสองค่ายแล้วหละ่ก็ถ้าดูดว้ยตาเป่ลาแล้วหละ่ก็แทบจะแยกแยะกันไม่ออกเลยทีเดียวแต่ถ้าอาศัยข้อมูลทางเทคนิคมาทำการวิเคราะห์แล้วหละ่ก็็ๆจะพอมองเห็นความแตกต่างในเรื่องของขนาดของตัวรถในระดับหนึ่งซึ่งทางด้านของ HONDA CITY จะค่อนข้างกว้างขวางกว่าทาง TOYOTA VIOS เล็กน้อยแต่ก็ไม่มากที่  1.492 m ส่วนทางด้าน VIOS จะอยู่ที่ 1.470 m (วัดจากระยะความกว้างของช่วงฐานล้อ) และทาง HONDA CITY จะมีขนาดความยาวที่มากกว่าทาง TOYOTA VIOS อย่างเห็นได้ชัดที่ 4.395 m ทาง TOYOTA VIOS จะมีความยาวที่ 4.300 m และทาง HONDA CITY จะมีน้ำหนักตัวที่มากกว่าทาง VIOS อยู่เล็กน้อยที่ 1120 kg ส่วนทาง TOYOTA VIOS จะอยู่ที่ 1055 kg โดยประมาณ


ระบบเครื่องยนต์





        ในส่วนของระบบเครื่องยนต์นั้นทั้งสองค่ายจะใช้เครื่องยนต์ขนาดความจุกระบอกสูบที่ 1500 ซีซีเท่ากันทั้งสองค่ายโดยทางฝั่ง TOYOTA VIOS นั้นจะใช้เครื่องยนต์ตระกูล VVT-I ที่สามารถให้แรงบิดสูงสุดที่ 4200 รอบ/นาที และมีอัตราส่วนกำลังอัดทีี่่่่่ 10.5:1 ส่วนทางฝั่ง HONDA CTY นั้นจะใช้เครื่องยนต์ตระกูล I-VTEC ที่สามารถทำแรงบิดสูงสุดได้มากกว่าทาง TOYOTA VIOS ที่ 4800 รอบ/นาที แต่มีอัตราส่วนของกำลังอัดที่น้อยกว่าทาง TOYOTA VIOS ที่ 10.4:1 ซึ่งจากการดูข้อมูลพื้นฐานเบื้องต้นของระบบเครื่องยนต์แล้วหละ่ก็ถือว่าค่อนข้างสูสีกันซึ่งในส่วนของทาง CITY นั้นจะได้ในส่วนของอัตราเร่งส่วนทางด้านของ VIOS นั้นจะได้ในส่วนของอัตรารักษาระดับของกำลังเครื่องยนต์ขณะใช้งานที่อุณหภูมิสูงๆส่วนหัวใจสำคัญของการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นจุดเด่นของรถยนต์ของทั้งสองค่ายนั้นก้คือระบบการจ่ายน้ำมันหรือระบบหัวฉีดทาง HONDA CITY จะใช้ระบบหัวฉีดแบบ PGM-FI ส่วนทางฝั่ง TOYOTA VIOS นั้นจะใช้ระบบหัวฉีดแบบ อิเล็กทรอนิกส์ EFI


ระบบเกียร์


VIOS



CITY
            ในส่วนของระบบเกียร์อัตโนมัตินั้นทางด้านของ TOYOTA VIOS นั้นจะใช้เป็นแบบอัตโนมัติ 4 สปีดส่วนทางด้านของทาง HONDA CITY นั้นจะใช้เป็นแบบอัตโนมัติ 5 สปีดซึ่งระบบเกียร์อัตโนมัติของทางฝั่ง HONDA CITY นั้นจะให้อัตราการเปลี่ยนเกียร์ที่ค่อนข้างนุ่มนวลกว่าทาง VIOS เล็กน้อยเเต่อัตราส่วนรอบความเร็วของการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัตินั้นทาง TOYOTA VIOS จะสูงกว่าทางด้าน HONDA CITY เเต่ถ้าพูดถึงดีไซต์หรือการออกแบบระบบเกียร์แล้วหละ่ก็ทางด้านของ TOYOTA VIOS นั้นเรียกได้ว่าออกแบบมาค่อนข้างดูดีและทันสมัยกว่าทางฝั่งของ HONDA CITY ดว้ยรูปทรงแบบทริปโทรนิคที่เพิ่มความน่าใช้งานให้แก่ผู้ใช้ต่างจากทาง CITY ที่ยังคงออกแบบมาในทรงของเกียร์อัตโนมัติธรรมดาๆเหมือนรถยนต์ที่ใช้งานทั่วๆไป


ระบบพวงมาลัย







       ทางฝั่งของ TOYOTA VIOS นั้นจะใช้ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า (EPS) เช่นเดียวกับทางฝั่งของ HONDA CITY ที่ใช้ระบบพวงมาลัยไฟฟ้าแบบ EPS ที่ให้ทั้งการตอบสนองที่ฉับไวและให้การควบคุมรถที่ง่ายและคล่องตัวและยังออกแบบระบบพวงมาลัยให้สามารถรองรับการทำงานแบบระบบพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นที่รองรับระบบการควบคุมสั่งการต่างๆได้ด้วยเพียงระบบปลายนิ้วสัมผัส


ระบบดีไซต์และอุปกรณ์ภายใน



       ในส่วนของการออกแบบภายในหรือดีไซต์นั้นถือได้ว่ามีการออกแบบมาได้อย่างทันสมัยและค่อนข้างลงตัวของทั้งทางสองค่ายไม่่ว่าจะเป็นในส่วนของระบบเครื่องเสียงติดรถยนต์ที่ถูกออกแบบมาในแบบ Build In และใช้งานง่ายขณะขับขี่รวมถึงโทนสีภายในที่ใช้ที่ทั้งทางสองค่ายเลือกใช้โทนสีแบบทูโทนที่ให้ทั้งความหรูหราและมีระดับเเละแบบโทนสีดำทึบที่ให้ความเป็นสปอร์ตซีดานแต่ในด้านของความสดวกหรือมุมมองของการใช้งานนั้นทางฝั่ง HONDA CITY นั้นจะค่อนข้างได้เปรียบมากกว่าในส่วนของทัศนวิสัยในการขับขี่ไม่ว่าจะเป้นในส่วนของตำแหน่งที่ตั้งของเรือนไมล์ที่ให้มุมมองที่มองได้ง่ายกว่าขณะขับขี่และดูสบายตาและมุมมองของกระจกด้านหน้าคนขับที่เปิดกว้างมากกว่าทางฝั่ง TOYOTA VIOS


บทสรุป

          โดยภาพรวมแล้วรถยนต์ของทั้งสองค่ายไม่ว่าจะเป็นทาง TOYOTA VIOS หรือทาง HONDA CITY นั้นไม่ค่อยแตกต่างหรือโดดเด่นเกินกันมากนักไม่ว่าจะเป็นระบบเครื่องยนต์หรือดีไซด์ของการออกแบบหรือจะเป็นทางด้านของอุปกรณ์ตกแต่งที่เหล่าบรรดาบริษัทผู้ผลิตก็ต่างผลิตคิดค้นอุปกรณ์ตกแต่งใหม่ๆป้อนให้กับเหล่าบรรดาค่ายรถยนต์ทั้งสองแบบไม่ขาดจะมีแตกต่างกันบ้างก็แค่ในส่วนของรายละเอียดทางเทคนิคเล็กๆน้อยๆที่ทาง HONDA CITY ดูจะมีเหนือกว่าทาง TOYOTA VIOS แบบเล็กน้อยที่เหลือก็คงจะขึ้นอยู่กัความพอใจหรือความนิยมของผู้ใช้งานที่จะเลือกใช้งานรถในสไตล์ที่ตนเองชอบและถนัดมากกว่ารายละเอียดทางเทคนิคเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจ

21.3.54

MAZDA 3 ใหม่..สมกับการรอคอย

          และแล้วรถยนต์หรูมาดสปอร์ตซีดานอย่าง MAZDA 3 ก็ได้เวลาปรับปรุงรูปโฉมหน้าตากันเสียทีเรียกได้ว่าการปรับปรุงรูปลักษณ์ในครั้งนี้นั้นเรียกได้ว่าใหม่เอี่ยมทั้งภายนอกและภายใน (ฺBody Change) หลังจากที่ทางค่าย MAZDA 3 ได้ปล่อยให้คู่แข็งในรุ่นเดียวกันของค่ายยานยนต์อื่นๆทิ้งห่างไปหลายช่วงตัวเพราะต่างก็ทยอยปรับปรุงรูปโฉมรูปร่างหน้าตากันไปเกือบหมดแล้วแต่การกลับมาคราวนี้ของทาง MAZDA 3 ในครั้งนี้ก็ถือได้ว่าไม่ได้สายจนเกินการเพราะตามสไตล์ของรถยนต์นั้งยี่ห้อ MAZDA 3 นั้นถือว่าคุณภาพคับแก้วกันเลยทีเดียวเรียกได้ว่าจะออกตัวช้าออกตัวเร็วก็ตามทันได้ตลอดสำหรับค่ายรถอื่นๆแต่การกลับมาในครั้งนี้ทาง MAZDA 3 ยังคงรักษารูปลักษณ์หรือรูปทรงแบบสปอร์ตซีดานไว้ได้แบบครบถ้วนร้อยเปอร์เซ็นต์หรืออาจจะมากกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำโดยการเปิดตัวของทาง NEW MAZDA 3 ในครั้งนี้นั้นน่าจะทำให้วงการรถยนต์ระดับกลางเกิดการแข่งขันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดกันอย่างเมามันแน่นอน




         บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว “มาสด้า 3 โมเดลเชนจ์” โดยประเดิมกับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร มาพร้อมกันทั้งตัวถังแฮตช์แบ็กและซีดาน สนนราคาขาย 1.064 ล้านบาท สำหรับ All New Mazda3 มาพร้อมรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยว สไตล์ “ซูม-ซูม” ส่วนเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2000 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 147 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 182 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อม Paddle Shift ปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ตามต้องการ




ออปชันเด่นทั้งไฟหน้าโปรเจกเตอร์แบบไบซีนอน พร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ ไฟท้ายแบบ LED รูปทรงสปอร์ต ระบบกุญแจ Smart Keyless Entry เปิด-ปิดประตูโดยไม้ต้องใช้กุญแจหรือรีโมท พร้อมระบบ Push Start Button เพียงปลายนิ้วสัมผัส รวมถึงซันรูฟเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ระบบการควบคุมการทรงตัว DSC ให้ความมั่นทุกการเข้าโค้ง ล้ออัลลอยลายสปอร์ตขนาด 17 นิ้วโดย โชอิชิ ยูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า มาสด้า 3 เจเนอเรชันใหม่ จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้มาสด้าในประเทศไทยอีกครั้ง เพราะเป็นยนตรกรรมคุณภาพที่ผู้บริโภครอคอยมากที่สุดในปีนี้ ทั้งแนวทางการออกแบบรูปโฉมที่สวยงามโดดเด่นสะดุดตา รูปลักษณ์ให้ความรู้สึกสปอร์ตแม้ขณะเคลื่อนไหวหรือขณะจอดนิ่งสงบอยู่กับที่ โฉบเฉี่ยวปราดเปรียว พร้อมการประกอบอย่างประณีตด้วยวัสดุคุณภาพสูง







          สิ่งที่ทำให้มาสด้า 3 โดดเด่น นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนารถสปอร์ต เรียกว่า “เทคโนโลยีไลต์เวท” (Lightweight Technology) ลดน้ำหนักส่วนเกินที่ไม่จำเป็นของรถลง แต่ช่วยให้สมรรถนะของรถดีขึ้น ขณะเดียวกันช่วยให้รถประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม 3%”สำหรับมาสด้า 3 ใหม่ สามารถลดน้ำหนักส่วนเกินลงถึง 15 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน และที่แน่นอนคือ ระบบช่วงล่างอันเลื่องชื่อของมาสด้า ทุกองค์ประกอบ จึงตอบสนองการขับขี่ที่สนุกสนานตามแบบฉบับ “ซูม-ซูม” อย่างแท้จริงมาสด้า 3 ใหม่ เริ่มแรกจะมีด้วยกัน 2 รุ่น คือ แฮตช์แบ็ก 5 ประตู และซีดาน 4 ประตู มีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ราคา 1,064,000 บาท


ที่มาข้อมูลจาก ASTV ผู้จัดการออนไลน์

18.3.54

น้ำมันเครื่องรถยนต์





            ระบบน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์หรือน้ำมันเครื่องรถยนต์นั้นมีความสำคัญกับระบบเครื่องยนต์ในการทำงานเป็นอย่างยิ่งเพราะทุกๆชิ้นส่วนของระบบเครื่องยนต์เมื่อมีการทำงานหมายถึงขณะทำการขับขี่รถยนต์แต่ละ่ชิ้นส่วนนั้นก็จะเกิดการเสียดสีกันอยู่ตลอดเวลาซึ่งการเสียดสีกันหรือการเคลื่อนไหวของชิ้นส่วนเหล่านี้ภายในเครื่องยนต์ก็จะทำให้เกิดความร้อนสะสมที่บริเวณพื้นผิวของวัสดุที่เสียดสีกันถ้าหากว่าระบบการหล่อลื่นของรถยนต์ที่เราใช้งานหรือบกพร่องหรือใช้น้ำมันเครื่องที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานแล้วหละ่ก็แน่นอนว่าอายุการใช้งานของรถยนต์ที่เรารักย่อมจะสั้นลงเกินกว่ากำหนดอย่างแน่นอนฉนั้นการหมั่นดูแลรักษาคอยตรวจตราตรวจเช็ครถยนต์น้ำมันเครื่องรถยนต์อยู่ตลอดเวลาแล้วและเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่ดีที่ได้คุณภาพมาตรฐานแล้วหละ่ก็ก็จะสามารถช่วยยืดอายุการทำงานของเครื่องยนต์ไปได้อีกอย่างยาวนาน
 
น้ำมันเครื่อง มี 3 ชนิดคือ

1. น้ำมันเครื่องธรรมดา ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียม ใช้งานได้ 3,000-5,000 กม.
2. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นธรรมดากับชนิดสังเคราะห์ ใช้งานได้ 5,000-7,000 กม.
3. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่สังเคราะห์ จากน้ำมันปิโตรเลียม ใช้งานได้ 7,000-10,000 กม.



 ส่วนประกอบของน้ำมันเครื่อง

น้ำมันพื้นฐาน  คือ ส่วนประกอบหลักที่สำคัญในการผลิตน้ำมันหล่อลื่นสามารถหาน้ำมันพื้นฐานได้จาก 3 แหล่ง ดังนี้
1. น้ำมันพื้นฐานที่สกัดจากพืช น้ำมันประเภทนี้ไม่นิยมนำมาผลิตเป็นน้ำมันเครื่องโดยตรงเนื่องจากเสื่อม คุณภาพในการหล่อลื่นได้ง่าย เมื่อสัมผัสความร้อน
 2. น้ำมันพื้นฐานที่สกัดจากน้ำมันดิบหรือปิโตรเลียม น้ำมันพื้นฐานประเภทนี้มีหลายชนิด แต่ส่วนมากจะนิยมใช้น้ำมันดิบจากฐานพาราฟินิก (Paraffinic) ซึ่งจะมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะนำมาผลิตเป็นน้ำมันเครื่องมากที่สุด เนื่องจากมีคุณสมบัติในการหล่อลื่นเพียงพอต่อการปกป้องเครื่องยนต์มิให้เกิด การชำรุดเสียหายได้แม้เครื่องยนต์จะทำงานที่อุณหภูมิต่ำ-สูงก็ตาม
 3. น้ำมันพื้นฐานสังเคราะห์ (Synthetic Base Oil) น้ำมันพื้นฐานประเภทนี้นิยมใช้ผลิตเป็นน้ำมันหล่อลื่นในงานพิเศษ ผลิตขึ้นจากการสังเคราะห์ด้วยขบวนการทางเคมี ทำให้มีคุณสมบัติในการหล่อลื่นและปกป้องเครื่องยนต์เหนือกว่า น้ำมันพื้นฐาน 2 ชนิดแรก

สารเพิ่มคุณภาพ (Additive)
สาเหตุของการใส่สารเพิ่มคุณภาพ
  1.   เพื่อปรับค่าความหนืดของน้ำมันหล่อลื่นตามอุณหภูมิการทำงานที่แตกต่างกัน
  2.   เพื่อให้น้ำมันมีคุณสมบัติในการหล่อลื่นได้สมบูรณ์ตลอดอายุของน้ำมันหล่อลื่น
  3.   เพื่อให้น้ำมันหล่อลื่นมีอายุการใช้งานไดนานขึ้น
  4.   เพื่อให้น้ำมันหล่อลื่นมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะอย่างเหมาะกับการใช้งานในแต่ละประเภท
  5.   เพื่อลดการสึกหรอและยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรเครื่องยนต์ให้นานขึ้น
  6.   เพื่อให้เครื่องจักรเครื่องยนต์มีสมรรถนะในการทำงานสูงขึ้น  

ชนิดและหน้าที่ของสารเพิ่มคุณภาพ

1. สารชะล้างเขม่า ทำหน้าที่ทำความสะอาดภายในเครื่องยนต์โดยการชะล้างสิ่งสกปรกคราบตะกอนเขม่า ต่าง ๆ ออกจากชิ้นส่วนของเครื่องยนต์
2. สารกระจายสิ่งสกปรก ทำหน้าที่ย่อยหรือสลายสิ่งสกปรกคราบตะกอนเขม่าให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แขวนลอยผสมอยู่กับน้ำมันเครื่องเพื่อป้องกันไม่ให้ไส้กรองน้ำมันเครื่องอุดตัน ทั้งยังป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกเล็ก ๆ เหล่านี้ตกตะกอนเพื่อรอการถ่ายทิ้ง
3. สารปรับปรุงค่าดัชนีความหนืด ทำหน้าที่ช่วยรักษาค่าความหนืดของน้ำมันให้คงที่เสมอ ถึงแม้ว่าอุณหภูมิการทำงานของเครื่องยนต์จะเปลี่ยนแปลงไป
4. สารป้องกันการสึกหรอ ทำหน้าที่ช่วยลดการสึกหรอของชิ้นส่วนและช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการละลายติด กันของชิ้นส่วนเมื่อชิ้นส่วนขาดการหล่อลื่นชั่วขณะหนึ่ง
5. สารป้องกันการเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจน ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้น้ำมันแปรสภาพเป็นยางเหนียว หรือน้ำมันกลายสภาพเป็นโคลน เมื่อเครื่องยนต์ร้อนจัดหรือทำงานที่อุณหภูมิสูงมาก ๆ นาน ๆ
6. สารป้องกันการเกิดฟอง ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เกิดฟองอากาศในน้ำมันขณะใช้งาน
7. สารป้องกันสนิม ทำหน้าที่ป้องกันสนิมที่จะเกิดขึ้นบนผิวหน้าของชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ทำด้วยเหล็กในขณะที่เครื่องยนต์ไม่ได้ทำงาน หรือขณะเก็บรักษาเพื่อรอการใช้งานต่อไป
8. สารป้องกันการกัดกร่อนจากกรด ทำหน้าที่ป้องกันการกัดกร่อนของกรดกำมะถัน ซึ่งเกิดขึ้นจากการเผาไหม้ของกำมะถันที่อยู่ในน้ำมันเชื้อเพลิง
9. สารรับแรงกดอัดหรือกระแทก ทำหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงให้ฟิล์มน้ำมันโดยสามารถรับภาระน้ำหนักได้มากขึ้น ในขณะที่ชิ้นส่วนเคลื่อนที่กระทบกันอย่างรุนแรง ฟิล์มน้ำมันจะไม่แตกตัวง่าย เช่น เกียร์และเฟืองท้าย เป็นต้น
10. สารลดจุดไหลเทของน้ำมัน ทำหน้าที่เป็นตัวให้น้ำมันที่จุดไหลเทที่อุณหภูมิต่ำลงไปกว่าเดิมอีก หรือใช้เพื่อทำให้น้ำมันสามารถใช้กับภูมิประเทศที่มีอุณหภูมิต่ำมาก ไม่ทำให้น้ำมันแข็งตัว แม้จะมีอุณหภูมิต่ำหรือติดลบมาก ๆ
11. สารลดแรงเสียดทาน ทำหน้าที่ช่วยลดแรงเสียดทานของชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่เสียดสีกันโดยการ เปลี่ยนแปลงค่าสัมประสิทธิ์ความฝืดของผิวชิ้นส่วนที่สัมผัสกับน้ำมัน
12. สารช่วยให้เกาะติดชิ้นส่วนได้ดี ทำหน้าที่เพิ่มคุณสมบัติการยึดเกาะของฟิล์มน้ำมันกับชิ้นส่วนไม่ให้หลุดลอก ออกง่ายเมื่อถูกเสียดสี เช่น การหล่อลื่นในเกียร์หรือเฟืองท้าย ซึ่งต้องอาศัยการนำพาน้ำมันด้วยการยึดเกาะไปกับฟันเฟือง เป็นต้น


ข้อควรปฏิบัติสำหรับน้ำมันเครื่อง

ระดับน้ำมันเครื่องสูงเกิน

น้ำมันเครื่องจะถูกดันผ่านแหวนลูกสูบขึ้นไปเผาไหม้กับน้ำมันเชื้อเพลิงจะมีเขม่าจับภายในห้องเผาไหม้ ทำให้เครื่องเกิดการน็อค อย่างรุนแรง / น้ำมันเครื่องจะดันออกทางซีลด้านหน้าและด้านหลังของเพลาข้อเหวี่ยง ทำให้เกิดการรั่วซึมได้ง่าย / ทำให้เกิดแรงดันในห้องเครื่องสูงและจะดันไอน้ำมันเครื่องออกมาทางท่อระบายได้มาก / ทำให้เครื่องยนต์ร้อนจัด

ถ้าระดับน้ำมันเครื่องต่ำเกินไป

ปั๊มน้ำมันเครื่องจะไม่สามารถดูดน้ำมันและส่งไปหล่อลื่นชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวภายในเครื่องอย่างเพียงพอ ทำให้เกิดการสึกหรออย่างรวดเร็วเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เครื่องพัง

เปลี่ยนตามอายุการใช้งาน

น้ำมันเครื่อง เปลี่ยนน้ำมันทุกๆ 5,000 กม./ 3เดือน
ไส้กรองน้ำมันเครื่องยนต์ เปลี่ยนทุกๆ 10,000 กม./ 6เดือน
ไส้กรองน้ำมันเบนซิล เปลี่ยนปีละครั้งทุกๆ 50,000 กม.
ไส้กรองอากาศ ทำความสะอาดทุก ๆ 5,000 กม. หรือ 10,000 กม. เปลี่ยนทุกๆ 20,000 กม. ทุกปีเป็นอย่างน้อย
ทำความสะอาดกรองอากาศหรือเปลี่ยนเมื่อหมดสภาพการใช้งาน
เปลี่ยนกรองน้ำมันเครื่องพร้อมน้ำมันเครื่อง

เปิดให้จองกันเเล้ว..HONDA BRIO






            และเเล้วแฟนคลับ HONDA BRIO บ้านเราก็จะได้ยลโฉมรถยนต์ ECO-CAR ตัวจี๊ดสดใสสมดั่งที่ได้เฝ้ารอคอยกันมานานซะที่เมื่อทางด้านของ บริษัท HONDA MOTOR ประเทศไทย ได้ฤกษ์เปิดตัวรถยนต์เอนกประสงค์ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่าง HONDA BRIO ที่กำลังจะเปิดให้จองตัวได้ที่งานมอเตอร์โชว์ที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้าและที่โชว์รูม HONDA ทั่วประเทศโดย HONDA BRIO ตัวที่จะใช้เปิดตัวและจัดจำหน่ายในเมืองไทยเรานี้อาจจะมีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างไปจาก HONDA BRIO เวอร์ชั่นที่ใช้เปิดตัวตามงานมอเตอร์โชว์ต่างๆเช่นแผงคอนโซลภายในที่จะเน้นออกไปทางโทนสีดำเล็กน้อยและภายนอกที่มีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างไปบ้างคงจะต้องไปวัดกันที่ยอดจองตัวล็อตแรกกันที่งานมอเตอร์โชว์ที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ว่าเจ้า HONDA BRIO จะสามารถครองแชมป์ยอดจองสูงสุดในงานได้หรือไม่ และที่สำคัญถือว่าเป็นการเปิดตัวครั้งแรกของโลกที่เมืองไทยแถมยังใช้บ้านเรา เป็นฐานการผลิต ประกอบ และจัดจำหน่ายสำหรับฮอนด้า บริโอ้ เคยเผยโฉมสู่สายตาชาวโลกมาแล้วครั้งหนึ่งในงาน “มหกรรมยานยนต์” เมื่อปลายปีที่ผ่านมาบริโอ้ เป็นรถแฮทช์แบ็ก 5 ประตู ที่ฮอนด้าผลิตออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของคนไทยที่ชื่นชอบยานยนต์ขนาด กระทัดรัด ที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นสะดุดตา แต่ให้ความรู้สึกกว้าง โปร่งสบาย ประหยัดน้ำมัน มีเทคโนโลยีนำสมัย และที่สำคัญราคาย่อมเยา






            นาย อาซึชิ ฟูจิโมโตะ ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงที่มาของ ฮอนด้า บริโอ้ ฮอนด้า บริโอ้ มีให้เลือกสองรุ่น S กับ V โดยทั้งคู่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ i-VTEC 4 สูบ ความจุ 1.2 ลิตร ที่ให้พลัง 90 แรงม้า สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E20 และประหยัดเชื้อเพลิงได้ถึง 20 กิโลเมตรต่อลิตร อีกทั้งปล่อยไอเสียสะอาดตามเกณฑ์มาตรฐานยูโร-4 ด้วยประสิทธิภาพของตัวถังยังผ่านมาตรฐานความปลอดภัยจากการทดสอบการชนทั้ง ด้านหน้าและด้านข้างตามที่ระบุโดยสหประชาชาติเศรษฐกิจและคณะกรรมการยุโรป (UNECE 94 และ 95 ตามลำดับ) ในส่วนของระบบส่งกำลัง บริโอ้มีทั้งแบบธรรมดาและ อัตโนมัติทั้งในรุ่น S และ รุ่น V ขณะที่เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT จะมีเฉพาะในรุ่น V เท่านั้นมิติตัวถังของ บริโอ้ มีความยาว 3610 มม. กว้าง 1680 มม. และสูง 1485 มม. บนฐานล้อ 2345 มม. ฮอนด้าเลือกที่จะลดความสูงและขยายความกว้างของบริโอ้เพื่อเพิ่มความรู้สึก กว้างให้กับรถขนาดเล็กกะทัดรัด และลำตัวสั้นของบริโอ้นอกจากจะช่วยให้การขับขี่คล่องตัวแล้วการจอดรถบนถนน แคบสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้นบริโอ้ มีพื้นที่ใช้สอยในห้องโดยสารและพื้นที่เก็บสัมภาระที่กว้างขวางพอเพียง เพื่อเสริม“ความรู้สึกกว้าง โปร่งสบาย” ประตูบานท้ายช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขนย้ายสิ่งของเข้า-ออกจากพื้นที่ เก็บสัมภาระ ซึ่งสามารถรองรับกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดใหญ่ รถเข็นเด็ก หรือแม้กระทั่งถุงกอล์ฟ ได้อย่างสบาย






           นอกจากนี้ ฮอนด้ายังติดตั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยทั้งแบบเชิงป้องกันและเชิงรับ อาทิ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบกระจายแรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) พร้อมถุงลมคู่หน้า และเข็มขัดนิรภัยชนิดปรับความดึงอัตโนมัติ ล้วนเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในบริโอ้ทุกรุ่น โดยเฉพาะถุงลมคู่หน้าสำหรับคนขับและผู้โดยสารด้านหน้านับว่าเป็นการยก มาตรฐานด้านความปลอดภัยขึ้นอีกระดับหนึ่งสำหรับผลิตภัณฑ์รถยนต์กลุ่มอีโคคา ร์ จุดเด่นที่น่าประทับใจอื่นๆของ บริโอ้ทุกรุ่น มีอาทิ พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า (EPS) ที่นั่งหลังพับเก็บได้พวงมาลัย ปรับระดับได้ ไฟสัญญาณประหยัดเชื้อเพลิง ECO ระบบปรับอากาศ สัญญาณเตือน (สำหรับเบรกมือ กุญแจ ไฟหน้าและเข็มขัดนิรภัย) ระบบล็อกป้องกันเด็ก กุญแจ WAVE ระบบ Immoblizer เข็มขัดนิรภัยและไฟเบรกดวงที่สามแบบ LEDบริโอ้มีสีสันที่สดใสสะดุดตาให้เลือก 5 สี ได้แก่ เขียวเฟรชไลม์ เมทัลลิก, ขาวทาฟเฟต้า, ฟ้าเซรูเลียน(เมทัลลิก), เงินอลาบาสเตอร์(เมทัลลิก) และดำคริสตัล เพิร์ล และตั้งราคา บริโอ้ ไว้ที่ 
รุ่น S เกียร์ธรรมดา 399,900 บาท
รุ่น V เกียร์ธรรมดา 469,500 บาท
รุ่น V เกียร์อัตโนมัติ CVT 508,500 บาท 
วิเคราะห์รถใหม่
NEW TOYOTA PRIUS เป็นรถยนต์นั้งอเนกประสงค์แบบสมบูรณ์แบบโดย TOYOTA PRIUS นี้ถูกผลิตขึ้นมาโดยมีพื้นฐานหรือต่อยอดมาจากรถยนต์ TOYOTA WISH แต่ TOYOTA PRIUS ได้เพิ่มการทำงานของระบบขับเคลื่อนมาเป็นแบบ HYBRID เพื่อเน้นทางด้านของการอนุรักษ์และการประหยัดพลังงานเป็นหลักแต่ในส่วนของ อัตราการขับเคลื่อนหรืออัตราการเร่งแซงไม่ได้ลดน้อยถอยลงแต่อย่าง
NEW HONDA BRIO เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการปรหยัดพลังงานเป็นอย่างมาก เพราะเป็นรถยนต์ที่ผลิตมาโดยอาศัยมาตรฐานรถยนต์ " อีโคคาร์ " เป็นเกณฑ์ในการผลิตจึงมั่นใจได้ว่าสามารถลดการใช้พลังงานหรือเผาผลาญได้ อย่างแน่นอนโดยสเปกหรือภาพโดยรวมของตัวรถเนี้ยจะเป็นรถยนต์ที่อยู่ในตระกูล รถยนต์ซิตี้คาร์หรือมี
วิเคราะห์รถยนต์มือสอง
MITSUBISHI STRADA 4WD ปี 2000 Mitsubishi Strada 4WD เป็นรถเเนวออฟโรดที่น่าเล่นอีกรุ่นหนึ่งเเละถือว่าเป็นรถยนต์ที่ออกแบบมามี รูปร่างหน้าตาที่ดูใช้ได้มีเส้นสายที่ลงตัวโดยมีขุมกำลังแบบ ดีเซลขนาด 2.8 ซีซี ซึ่งถือว่าค่อนข้างแรงในขณะนั้นเเละพาลให้มีอัตราการกินน้ำมันที่พอดูเลยที เดียวที่ประมาณ 10 Km/ลิตร มีน้ำหนักตัวที่หนัก
CHEVROLET AVEO ปี 2007 เชฟโลเลต อาวีโอ่ เป็นรถยนต์นั้งขนาดเล็กเเต่คุณภาพไม่ได้เล็กตามตัวไปดว้ยโดยเป็นรุ่นที่ ถูกออกแบบมาขนาดกระทัดรัด (ไม่เล็กจนเกินไป) คุณภาพของวัสดุถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐาน โดยมีขุมกำลังขนาดย่อมที่ 1.4 ซีซี เน้นการประหยัดพลังงานเเละมีอัตราการกินน้ำมันที่ประมาณ 14-15 Km/ลิตร
รวมคลิปวิดีโอรถยนต์