24.2.54

Nissan sanny 2011..จะกลับมาโลดเเล่นบ้านเราอีกครั้ง








        ถ้าพูดถึงรถยนต์ Nissan Sanny ที่วางจำหน่ายในบ้านเราเเล้วหละ่ก็คงจะต้องย้อนกลับไปดูเมื่อราวๆประมาณกว่า 10 ปีที่เเล้วซึ้งถือว่าเป็นการเปิดตัวรถยนต์ในตระกูลรถขนาดเล็กในขณะนั้นของทาง Nassan ซึ้งค่อนข้างจะได้รับความนิยมพอสมควรเลยทีเดียวเเม้ว่าช่วง7-8 ปีหลังมานี้ทาง Nissan จะหันมาดัน Nissan Tieda เพื่อออกมาลุยรถยนต์ตลาดรถขนาดเล็กแทน Nissan Sanny เเล้วปรากฏว่าสามารถยืนหยัดต่อสู้อยู่ในตลาดรถเล็กต่อกรกับค่ายรถชั้นนำอื่นๆได้พอสมควรเลยทีเดียวจึงทำให้หลายต่อหลายคนคิดว่าคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นเจ้า Nissan Sanny โฉมใหม่ออกมาโลดเเล่นตามท้องถนนบ้านเราอีกอย่างแน่นอนเเละอีกประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งคือทาง Nissan Tieda ยังมีพัฒนาการหรือการพัฒนาในเรื่องของเทคโนโลยียานยนต์แบบชนิดที่ว่าไม่น้อยหน้ารถยนต์จากค่ายอื่นๆในรุ่นหรือในระดับเดียวกันเเละ Nissan Tieda ก็ยังมียอดขายหรือเเนวโน้มของการเจริญเติบโตที่เป็นไปในทางบวกหรืออาจจะเรียกได้ว่าเจ้า Nissan Tieda เจนเนเรชั่นปัจจุบันนี้ได้เข้ามายึดครองพื้นที่ในส่วนตลาดรถยนต์นั้งขนาดเล็กแทนเจ้า Nissan Sanny เดิมที่เคยครองตลาดรถยนต์นั้งขนาดเล็กของทางค่ายรถยนต์ Nissan มาก่อน ซึ่งอาจจะมีใครๆหลายต่อหลายคนนั้นเเทบจะลืมชื่อของ Nissan Sanny กันไปเลยทีเดียวหรืออาจจะมีหลายๆคนเสียดายที่อาจจะไม่ได้เห็น Nissan Sanny โฉมใหม่ๆออกมาวิ่งโลดเเล่นตามท้องถนนกันเทียบเคียงกับรถยนต์ดังๆของค่ายต่างๆอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้




        มีรายงานอย่างไม่เป็นทางการว่า Nissan เตรียมที่จะยืดเส้นยืดสายในกลุ่มรถเล็กระดับ Eco-Car โดยก่อนหน้านี้มีข่าวคราวว่าจะมีการนำ nissan sunny เข้ามาจำหน่ายอย่างแน่นอนแต่ยังไม่มีกำหนดการณ์ที่แน่ชัด แต่จากข่าวล่าสุดบนเว็บไซต์ล้วงเรื่องลับวงการรถยนต์ชื่อดัง autoincar ได้มีการเปิดเผยว่า ค่ายรถยนต์ Nissan เตรียมที่จะนำรถรุ่นดังกล่าวเข้าสู่ตลาดในประเทศไทยและอินเดียในเร็วๆนี้


เว็บไซต์เดียวกันนี้ยังเปิดเผยต่อไปว่า แม้ Nissan จะมีแผนที่จะนำซีดานชื่อเด็กเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยและอินเดียนั้น แต่ดูเหมือนว่า Nissan จะมีการเปลี่ยนชื่อรุ่นเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในตลาดทั้ง 2 ประเทศ โดยจะใช้ชื่อว่า nissan Almera ในการทำตลาด ซึ่งในอินเดียนี้ก็คาดว่าน่าจะใช้ชื่อเดียวกันในการเปิดตัว เนื่องจากที่ประเทศอินเดียมีมอเตอร์ไซค์รุ่น sunny จากค่าย Bajaj วางจำหน่ายอยู่

            ทั้งนี้สำหรับในประเทศไทย มีความเชื่อว่า Nissan sunny หรือ Nissan almera จะเข้ามาจำหน่ายในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ โดยอาจจะมีการปรับเครื่องยนต์ต่างจากที่จำหน่ายในจีน โดยหันมาใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร เพื่อเข้าตามกฏเกณฑ์รถอีโค่คาร์ในประเทศไทย จากเดิมที่ในจีนวางจำหน่ายในรุ่นเครื่องยนต์ขนาด 1500 ซีซี ซึ่งจากเเนวโน้มของการกลับมาของ Nissan Sanny ในครั้งนี้เเม้ว่าจะไม่ได้มาในรูปลักษณ์ของรถเครื่องยนต์ขนาดกลางและปรู้ดปร้าดเหมือนเดิมที่อาจจะไปทับทางกับทางเจ้า Nissan Tieda ที่กำลังทำการตลาดกันอยู่แต่ Nissan Sanny ก็เรียกได้ว่ากลับมาแบบค่อนข้างที่จะอินเทรนเลยทีเดียวนั้นก็คือ กลับมาในรูปลักษณ์ของรถยนต์ประหยัดพลังงาน (Eco-Car) เพื่อให้เข้ากับยุคของการประหยัดพลังงานหรือยุคพลังงานขาดเเคลนในปัจจุบันเเละเเน่นอนว่าบรรดาเหล่ารถเล็กหรือ อีโค่คาร์ รายอื่นๆที่ออกมาจำหน่ายหรือออกมาวิ่งกันตามท้องถนนของบ้านเราหรือที่กำลังจะออกมาวางขายกันในเร็วๆวันนี้ย่อมจะต้องรู้สึกหนาวๆร้อนๆไปตามๆกันไม่มากก็น้อยเลยทีเดียวกับการหวนกลับคืนมาอีกครั้งของทาง Nissan Sanny ในเจนเนเรชั่น อีโค่ดาร์ ที่ถูกมองว่าจะทำออกมาซ้อนทับกับทางด้านของ Nissan March ที่กำลังจำหน่ายอยู่ในขณะนี้หรือไม่ซึ่งถ้ามองในมุมกลับกันคงจะเป็นเรื่องดีๆมากกว่าที่จะมีรถประหยัดพลังงานที่มีคุณภาพอย่าง Nissan ที่ทำรถยนต์ อีโค่คาร์ ออกมาวางจำหน่ายถึง 2 รุ่นซึ่งจะทำให้เกิดทางเลือกที่ดีของผู้บริโภคที่จะได้รับสินค้าที่ดีมีคุณภาพให้เลือกใช้งาน

















23.2.54

มาดูเทคโนโลยี..FULL HI DEF LCD กัน








           ถ้าพูดถึงเทคโนโลยีของจอโทรทัศน์ในปัจจุบันนี้โทรทัศน์จอเเบนยังคงเป็นเทคโนโลยีพื้นฐาน   ของระบบการแสดงผลภาพอยู่ในขณะนี้ดว้ยการให้ผลของภาพที่สมจริงเเต่ในระยะ 2-3 ปีหลังนี้ปรากฎว่าเทคโนโลยี LCD กำลังเข้ามาแทนทีระบบโทรทัศน์แบบจอแบนเเบบชนิดที่ว่าไม่ติดฝุ่นเลยที่เดียวเจ้าเทคโนโลยีแบบ LCD นี้นอกจากจะให้ภาพที่สมจริงมากๆแล้วยังจะให้ความคมชัดเเบบสุดๆดว้ย เเละเเเน่นอนว่าเทคโนโลยี LCD ก็กำลังจะก้าวเข้ามาแทนที่เทคโนโลยีจอแบนในที่สุด ล่าสุดทางด้านบริษัท LG ได้ทำการคิดค้นเทคโนโลยี LCD ขั้นสูงอีกระดับคือ การสร้างภาพระดับไฮเดฟินิชั่น 3 มิติทะลุจอดังกล่าวจะเป็นของบริษัท LG เอง โดยสามารถให้แสงสว่างได้มากขึ้นเป็น 2 เท่าของจอแอลซีดีสามมิติที่พบเห็นทั่วไป หรือพูดง่ายๆ ก็คือ มันเป็นจอ LCD 3 มิติที่มีความสว่างมากที่สุดในโลกนั่นเอง








ความลับของภาพ 3 มิติทีปรากฎขึ้นบนจอ LCD นั้นเป็นผลมาจากการใช้เทคโนโลยีความต่อเนื่องของเวลา (time-sequential) ของการแสดงภาพเคลื่อนไหว โดยทำให้ตาขวาและตาซ้ายเห็นภาพที่แตกต่างกัน จะทำให้ตามองเห็นภาพเป็น 3 มิติได้ (เทคนิคง่ายๆ ที่หลอกสายตาได้เช่น การแสดงภาพที่ตรงข้ามกัน หรือ horizantal flip สลับไปมาอย่างรวดเร็ว จะทำให้เห็นมิติตื่นลึกของภาพได้) ซึงหากเป็นแอลซีดีทีวีสามมิติทั่วไปจะติดตั้งเทคโนโลยีดังกล่าวไว้ที่แผง ด้านหน้า หรือกระจกใสที่ครอบหน้าจอ เพื่อสร้างมุมมองของภาพที่มีเวลาแตกต่างกัน

แต่สำหรับจอแอลซีดีไฮเดฟินิชั่นรุ่นนี้จะใช้วิธีฝังเทคโนโลยีดังกล่าวเข้าไป ในจอเลย ซึ่งทำให้มุมมองของภาพสามมิติมีความสว่างคมชัดกว่าเดิมที่อยู่ด้านหน้าอีก ชั้นหนึ่ง ที่สำคัญมันสามารถมองดูด้วยแว่นตาโพลาร์ไรซ์ราคาถูกได้อีกด้วย ในขณะที่แบบเดิมต้องใช้แว่นตาชนิดพิเศษที่มีราคาแพงกว่า
 
 
ที่มาข้อมูลจาก

www.arip.co.th

21.2.54

วิธีการตรวจเช็คสีรถ..หลังทำสีใหม่

    






  หลายท่านอาจมีประสบการณ์ในการนำรถเข้าซ่อมสี เเละเมื่อซ่อมแล้วก็อยากรู้ว่าสีที่ซ่อมใหม่จะเป็นอย่างไรโดยเฉพาะสีเมทัลลิก (สีทีมีเม็ดบรอนซ์ผสม) ควรได้รับการดูแลด้วยทีมช่างทีมีความชำนาญและใช้เครื่องมือที่ได้มาตรฐาน ฉะนั้นภายหลังการนำรถเข้าซ่อมสี ควรทำการตรวจเช็คสีรถทั้งในร่มและกลางแจ้งดว้ยขั้นตอนดังนี้

1.  ยืนห่างจากชิ้นงานทีมีการซ่อมสีดว้ยระยะห่างประมาณ 2 เมตร เพื่อให้มองเห็นทั่วทั้งชิ้นงาน

2.  ใช้สายตาตรวจสอบสีโดยทำมุม 45 องศาจากชิ้นงานที่อยู่ติดกันเพื่อตรวจสอบความเหมือนของสี

3.  ใช้สายตาตรวจสอบสีดดยทำมุม 90 องศาจากชิ้นงานที่อยู่ติดกันเพื่อตรวจสอบความเหมือนของสี

4.  สีทีพ่นใหม่ควรมีความใกล้เคียงกับสีเดิมถึงจะนับว่าเป็นงานซ่อมสีที่ดีแต่ถ้าสีที่ซ่อมใหม่แตกต่างจากสีเดิมมากจนเห็นได้ชัด นั้นแสดงว่าการผสมสีเเละการพ่นของช่างซ่อมสียังไม่ดีเท่าที่ควรจึงควรนำเข้าแก้ไขสีใหม่อีกครั้ง

ในส่วนอื่นนอกเหนือจากการตรวจเช็คสีรถหลังจากการนำรถเข้าทำการซ่อมสีนั้น ยังมีวิธีการตรวจเช็คหรืือแก้ไขสีรถในกรณีต่างๆ

1.  รถสีด้าน อาจเกิดจากการที่รถตากเเดดไว้บ่อยๆหรือใช้งานมาเป็นเวลานานโดยขาดการดูแลรักษา วิธีที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ไขรถสีด้านคือ ควรจะนำรถเข้าทำสีใหม่เพื่อให้สีมีความคงทนแต่ถ้าไม่ต้องการทำสีใหม่ให้ใช้ยาขัดสีขัดพื้นผิวบริเวณนั้นโดยต้องเลือกใช้ยาขัดสีให้ถูกกับประเภทงาน การใช้ยาขัดสีจะช่วยได้เพียงแค่การชลอการเสื่อมสภาพของสีเท่านั้นไม่สามารถทำให้ผิวสีกลับสู่สภาพเดิมได้นอกจากนี้การล้างรถก็มีสว่นทำให้รถสีด้านด้วยเช่นกันจึงไม่ควรล้างรถในช่วงที่เพิ่งใช้งานเสร็จขณะที่พื้นผิวของรถยังร้อนอยู่

2.  คราบสติกเกอร์บนสีรถ  รอยคราบที่เกิดจากการลอกสติกเกอร์ที่ติดอยู่บนผิวสีรถนั้นจะมีวิธีการแก้ไขคือ ใช้ยาขัดสีรถแบบละเอียดขัดบริเวณที่เป็นคราบก่อนแล้วใช้แว็กซ์อ่อนขัดตามอีกครั้ง ถ้าสีบริเวณที่ลอกสติกเกอร์ออกนั้นแตกต่างกับผิวสีเดิมมากให้ใช้กระดาาทรายเบอร์ 1200 ขัดบริเวณพื้นผิวนั้นก่อนเเละขัดดว้ยยาขัดละเอียดเเล้วลงแว๊กซ์อีกครั้ง

3. หมั่นดูแลรัษาสีรถ  ตรงจุดนี้น่าจะเป็นจุดสำคัญหรือประเด็นสำคัญที่สุดในการช่วยยืดอายุของสีรถให้อยู่คู่กับอายุของตัวรถได้อย่างยาวนานโดยการหมั่นล้างสีรถเป็นประจำหลังจากล้างและทำความสะอาดสีรถเเล้วก็ควรจะทำการเคลือบสีรถทันทีเพื่อเคลือบบริเวณชั้นผิวของสีรถให้มี่หรือทำให้เกิดชั้น Film เกิดขึ้นเพื่อมาคอยปกป้องชั้นของสีรถไม่ให้เกิดริ้วรอยหรือเกิดรอยด่างดำและถ้าเราหมั่นดูแลรักษาสีรถอย่างเป็นประจำเเล้วหละ่ก็จะทำให้เกิดชั้น Film บางๆเพิ่มสูงมากยิ่งขึ้นและชั้น Film บางๆที่เพิ่มสูงขึ้นนี้จะยิ่งช่วยให้เกิดการปกป้องผิวสีรถที่มีประสิทธิภาพอย่างสูงสุดมากยิ่งขึ้น


ข้อมูลประกอบจาก

www.honda.co.th


18.2.54

เมื่อพวงมาลัยเริ่มหนักผิดปกติ..จะทำอย่างไร






        โดยปกติรถยนต์ที่เราใช้งานกันนั้นจะมีระบบบังคับเลี้ยวหรือพวงมาลัยแบบมีระบบผ่อนเเรง (ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์) เพื่อช่วยให้สามารถบังคับรถได้อย่างง่ายดายและเบาแรงซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากเราใช้งานไปนานๆหรือรถของเราเริ่มเก่าลงระบบต่างๆเหล่านี้เเน่นอนก็ย่อมจะเริ่มเสื่อมสภาพตามลงเช่นกัน โดยจะเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับระดับการใช้งานของผู้ใช้ด้วยเช่นกันหรือจะเรียกได้ว่าอาจจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้รถด้วยว่ามีพฤติกรรมอย่างไรที่อาจจะส่งผลเสียถึงการทำงานของระบบบังคับเลี้ยวหรือระบบพวงมาลัยได้เช่น การบังคับพวงมาลัยให้เลี้ยวกระทันหันในขณะความเร็วของตัวรถยังสูงอยู่หรือการหักพวงมาลัยแบบสุดวงบังคับเลี้ยวบ่อยๆนั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุให้พวงมาลัยเิกิดอาการสึกหรอหรือเกิดการหลวมหรือคลอนบริเวณข้อต่อหรือคันชักได้เป็นธรรมดาซึ่งการเเก้ไขเบื้องต้นก็คือต้องหมั่นนำรถเข้าตรวจเช็คเป็นประจำเผื่อว่าถ้ามีอาการผิดปกติหรือตรวจพบสาเหตุของปัญหาจะได้หาทางแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนได้ทันท่วงทีก่อนที่ผู้ใช้งานจะนำรถออกไปขับขี่ตามท้องถนนเป็นปกติ


ระบบบังคับเลี้ยวในรถยนต์หรือจะเรียกว่าระบบพวงมาลัยก็ได้ สามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ

1.  ระบบพวงมาลัยแบบไฮดรอลิค (Hydraulic Power Steering)
2.  ระบบพวงมาลัยแบบไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering)

นั้นการใช้แบบใดนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของรถยนต์แต่ละ่รุ่นที่โรงงานได้ออกแบบมาตั้งแต่แรก โดยที่อาการของพวงมาลัยที่ทำงานหนักผิดปกตินั้นอาจมีสาเหตุมาจาก

1.  เเรงดันลมยางอ่อนกว่าปกติ หรือกรณีเปลี่ยนล้อคู่หน้าใหม่เพื่อเพิ่มความกว้างของหน้ายางให้มีขนาดใหญ่มากขึ้นซึ่งจะทำให้หน้ายางสัมผัสกับถนนมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม เป็นผลทำให้พวงมาลัยหนักผิดปกติ

2.  ศูนย์ล้อของรถผิดไปจากมาตรฐานของโรงงาน

3.  ท่อทางเดินน้ำมันเพาเวอร์และวาล์วน้ำมัน เกิดอุดตันจากสิ่งสกปรกที่ปะปนมากับน้ำมันอาจทำให้ตัวปั้มเกิดสึกหรอ และอายุการใช้งานสั้นลง

4.  ระดับน้ำมันเพาเวอร์ในกระปุกต่ำกว่าขีดต่ำสุด (Lower Level) ซึ่งอาจเกิดจากการรั่วซึมของน้ำมันเพาเวอร์ ตามชิ้นสว่นต่างๆ เช่น ท่อน้ำมันแรงดันสูง,ท่อน้ำมันแรงดันต่ำ,ปั้มพวงมาลัยเพาเวอร์,แร็คพวงมาลัย,เป็นต้น โดยสังเกตไ้ด้จากรอยน้ำมันที่หยดลงบนพื้นที่จอดหรือให้สังเกตจากเสียงดังขณะเลี้ยวหรือการหมุนพวงมาลัยวึ่งหากเกิดจากน้ำมันเพาเวอร์พร่องเกินขีดที่กำหนดก็มีโอกาสที่จะทำให้อากาศเข้าสู่ระบบไฮดรอลิคในกรณีเช่นนี้ อาจเกิดความเสียหายต่อปั้มพวงมาลัยเพาเวอร์ได้

5.  การใช้น้ำมันเพาเวอร์ผิดประเภท ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้พวงมาลัยหนัก เพราะลักษณะเฉพาะของระบบบังคับเลี้ยวรถยนต์แตกต่างกันดังนั้นน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ในรถยนต์แต่ละ่รุ่นแต่ละ่ยี่ห้อนั้นจึงไม่เหมือนกันและไม่สามารถใช้ชนิดเดียวกันได้ถึงแม้ข้างกระป๋องจะเขียนว่าเป็นน้ำมันเพาเวอร์เหมือนกัน

6.  ข้อต่ออ่อนบนแกนพวงมาลัยเกิดเสื่อมสภาพหรือเสียหายรวมถึงระบบชว่งล่าง อาจเกิดได้กับรถยนต์ที่ขาดการบำรุงรักษาและไม่ค่อยได้รับการตรวจเช็ค ทำให้พวงมาลัยหนัก พวงมาลัยไม่ตีกลับ

7.  มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานผิดปกติ (เฉพาะรุ่นที่เป็นพวงมาลัยไฟฟ้า EPS) หากตรวจสอบพบว่ามีสัญลักษณ์ไฟเตือนพวงมาลัยไฟฟ้า(สีส้ม) ติดสว่างขึ้นบนมาตรวัดในขณะขับขี่ควรเพิ่มความระมัดระวังในการควบคุมรถ เนื่องจากพวงมาลัยจะหนักกว่าปกติ

16.2.54

2011นี้เจอแน่..HONDA JAZZ SHUTTLE ใหญ่กว่าเดิม

   





            ชื่อของ Honda Jazz ในบ้านเรานี้ค่อนข้างที่จะติดหูและคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ในระยะ 5-6 ปีมานี้โดยเป็นรถทีมีคอนเซ็ปที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นอย่างมากนั้นก็คือ ด้วยรูปทรงที่กระทัดรัดแต่ปราดเปรียวประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยมีการปรับโฉมกันมาเป็นระยะๆล่าสุดทางบริษัท Honda ประเทศ ญี่ปุ่นกำลังจะส่ง Honda jazz/fit shuttle ซึ่งเป็น Honda jazz รูปทรงเเบบสเตชั่นวากอน โดยมีจุดเด่นอยู่ที่รูปทรงที่ยาวเเละกว้างขวางกว่า Honda jazz ปกติมากซึ่งเเตกต่างจากภาพลักษณ์ของเจ้ารถยนต์ Honda Jazz ที่หลายๆคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีโดยคอนเซ็ปของการเปลี่ยนแปลงรูปทรงในครั้งนี้นอกจากจะหวังผลในเรื่องของยอดจำหน่ายที่เพิ่มสูงมากขึ้นจากที่เป็นอยู่แล้วยังจะเป็นการแหวกตลาดรถยนต์นั้งขนาดเล็กให้ดูดีหวือหวาและสร้างสีสันให้กับตลาดรถยนต์ในระเเวกเอเชียโดยการเปลียนแปลงของ Honda Jazz/fit Shuttle ในครั้งนี้นั้นน่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเเละสูงเป็นอย่างมากสำหรับตลาดรถยนต์นั้งบ้านเราในขณะนี้เเละสิ่งที่เเตกต่างจากค่ายรถยนต์นั้งคู่แข่งรายอื่นๆเเล้วหละ่ก็ที่หันมาผลิตรถในลักษณะเเบบนี้โดยไม่คงรูปทรงหรือโครงสร้างเดิมของรถไว้เลยไม่ว่าจะเป็น Wish ของค่าย Toyota หรือจะเป็น Mitsubishi Station Wagon ของทางค่าย Mitsubishi เองโดยที่ทาง Honda ไม่ได้ที่จะยึดเเนวทางของทางค่ายอื่นๆหรือรูปแบบของทางค่ายอื่นๆ






            Honda Jazz รุ่นใหม่ล่าสุด เวอร์ชั่นแบบสเตชั่นแวกอน Station Wagon ซึ่งเป็นรถมินิแวนขนาดเล็ก โดยได้ปรับโฉมรถเก่งขนาดเล็กให้มีรูปทรงขยายใหญ่ขึ้นซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Honda ประเทศญี่ปุ่นเปิดเผยราคารถรุ่น  Honda Fit Shuttle แล้ว ยันมีรุ่นไฮบริด ซึ่งพร้อมที่จะลงตลาดอย่างแน่นอนในเดือนมีนาคม 2554 นี้ 

Honda ระบุว่า Honda Jazz / fit Shuttle ใหม่นี้จะมีราคาเริ่มต้นที่ 1,650,000 เยน หรือ610,500บาท เมื่อคิดตามอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน(07-02-2011)สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ทั่วไปและในเวอร์ชั่นเครื่องยนต์ไฮบริดนั้นจะมีราคาจำหน่ายที่ 1,850,000 เยน หรือคิดเป็นเงินไทยที่ประมาณ 684,500 บาท

       ทั้งนี้ Honda Jazz/ fit Shuttle ยังมีการแบ่งเกรดลงไปอีกเป็นรุ่น 15C และ Hybrid C ที่ตอบสนองสำหรับการใช้งานในกลุ่มธุรกิจต่างโดยจะมีราคาต่ำกว่ารุ่นทั่วไป ประมาณ 40,000 เยน หรือประมาณ 14,800 บาท และในส่วนของรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อนั้นจะมีให้ลูกเลือกเช่นกันแต่จะมีเฉพาะในกลุ่มเครื่องยนต์เบนซินธรรมดาเท่านั้นที่มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,825,600 เยน หรือ 674,572 บาทไทย
อย่างไรก็ดีในวงการสื่อสายรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า Honda Jazz/ Fit Shuttle นี้อาจเป็นตัวตายตัวแทนในรุ่น Honda Airwave ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน ซึ่ง Honda ได้ผลิตรถรุ่นดังกล่าวมาตอบสนองกลุ่มผู้มีครอบครัว ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับ Honda Jazz/ Fit Shuttle ที่ฮอนด้าได้วางเอาไว้เเต่ต้นทุนการผลิตที่เเน่นอนน่าจะต่ำกว่าทาง Honda Airwave เเต่ดูดีมีสไ้ตล์ตามเอกลักษณ์ของทาง Honda jazz ซึ่งคาดการณ์ว่าถ้าทาง Honda Jazz/Shuttle ถูกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเมื่อไหร่เเล้่วก็คงจะได้รับการตอบรับจากเหล่าบรรดาแฟนคลับ Honda Jazz ในเมืองไทยอย่างแน่นอนเเละยังจะได้กลุ่มลูกค้าใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีกดว้ยนั้นก็คือกลุ่มนักเดินทางแบบครอบครัวที่จะหันมาสนใจ Honda Jazz/Shuttle มากยิ่งขึ้น

ที่มาข้อมูล

www.sanook.com




15.2.54

ฮุนได โซนาต้า สปอร์ต..พร้อมถึงไทยเเ้ล้ว







           ถ้าพูดถึงรถยนต์นั้งจากเเดนกิมจิในบ้านเราแล้วหละ่ก็คงจะมีเพียงไม่กี่ยี่ห้อเท่านั้นที่เราๆท่านๆทราบกันดีไม่ว่าจะเป็น เกีย ซันยองหรือ ฮุนได โดยเฉพาะรายหลังอย่างฮุนไดที่สร้างชื่อเสียงไว้ที่บ้านเราเมื่อหลายปีก่อนก่อนที่จะเงียบหายไปและกลับมาเปิดตัวอีกทีแบบระดับ HI CLASS เรียกว่าคุณภาพคับแก้วกันเลยทีเดียวเเต่สำหรับชื่อของค่ายรถยนต์จากเเดนกิมจิรายนี้ถ้าเป็นทางฝั่งยุโรปหรืออเมริกาเเล้วหละ่ก็ถือว่าอยู่ในระดับขั้นของค่ายรถยนต์ที่มีชื่อเสียงติดหูหรือติดตลาดกันเลยทีเดียวเป็นเพราะว่าตลาดรถยนต์ทางฝั่งยุโรปเเละอเมริกานั้นค่อนข้างที่จะบูมมากกว่าทางฝั่งตลาดเอเชียหรือในระเเวกใกล้เคียงยกตัวอย่างเช่นค่ายรถชั้นนำที่ผลิตรถยนต์ป้อนสู่ตลาดเอเชียหรือเเม้เเต่บ้านเราก็ตามทีที่จะเน้นผลิตรถยนต์ออกมาโดยมีรูปร่างสวยงามเเละปราดเปรียวกันซะส่วนใหญ่ต่างกับทางค่าย Hyundai ที่ผลิตรถยนต์โดยมีรูปร่างใหญ่บึกบึนเเละมีรูปร่างหน้าตาที่ดูขรึมซึ่งเป็นสไตล์รถยนต์ของทางฝั่งค่ายรถยนต์ทางยุโรปและอเมริกาแต่ก็ใช่ว่าทางด้าน Hyundai ค่ายรถยนต์ชื่อดังจากแดนกิมจิจะถอดใจกับสายการผลิตรถยนต์ในระเเวกเอเชียหรือบ้านเราซะเลยทีเดียวโดยในช่วงปี 2 ปีนี้ก็ได้เข็นรถใหม่ออกมาลงตลาดในบ้านเราอยู่หลายๆรุ่นด้วยกันที่สำคัญยังจะมีหลายๆสไตล์ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นเเนว สปอร์ตอย่าง Hyundai Scupe หรือจะเป็นเเนว SUV อย่าง Hyundai Santafe ทีทำออกมาได้อย่างลงตัวเเละมีคุณภาพเป็นที่น่าเชื่อถือและท้ายสุดกับเจ้า Hyundai Sonata ที่ทำออกมาแบบชนิดที่ว่ายังคงรักษาเอกลักษณ์ความเรียบง่ายแต่คงความหรูหรามีระดับไว้เช่นเคย ล่าสุดทาง ฮุนไดมอเตอร์ได้ออก ฮุนได โซนาต้า สปอร์ต เเบบซีดาน 4 ประตู หรูหรามีระดับพร้อมลงโชว์รูมอวดโฉมในไทยอีกไม่นานเกินรอโดยฉีกเเนวความเรียบง่ายจำเจจากเจ้า Hyundai Sonata เดิมที่ทำออกมาวางจำหน่ายกันเมื่อปีก่อนแบบชนิดที่ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงไม่ว่าจะเป็นหน้าตาที่ดูดุและหล่อเหลาเอาการกว่าหรือจะเป็นรูปทรงที่ไม่ดูเรียบง่ายเหมือนกับรุ่นก่อนๆและที่แตกต่างกันอีกอย่างหนึ่งก็คงจะหนีไม่พ้นในส่วนของราคาค่าตัวของเจ้า Hyundai Sonata Sport ที่คงจะมีราคาค่าตัวที่สูงกว่ารุ่นเดิมโดยถ้ามองถึงการแลกมาด้วยคุณภาพที่เพิ่มมากขึ้นเเล้วก็คงจะคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่งกับการลงทุนของทาง Hyundai ในครั้งนี้

          ทั้งนี้ บริษัทฮุนไดเปิดเผยว่าบริษัทเตรียมนำรถรุ่นดังกล่าวออกวิ่งทดสอบก่อนที่จะให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับในช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้ ในขณะที่การจับจองรถรุ่นนี้จะเริ่มเปิดให้ผู้ที่สนใจจองได้ภายในงาน Bangkok International Motor Show 2011 โดยมั่นใจว่ารถรุ่นใหม่นี้จะได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า สำหรับ all New Hyundai Sonata Sport นี้ นับเป็นสปอร์ตซีดานในสไตล์คูเป้ที่ลงตัวด้วยความทันสมัยและมีบุคลิกที่โดดเด่นด้วยการออกแบบภายใต้แนวคิด Fluid Sclpture design ที่เป็นมาตรฐานการออกแบบใหม่ของรถยนต์จากค่ายรถยนต์เกาหลีรายนี้

           แม้จนถึงตอนนี้รายละเอียดเกี่ยวกับรถจะยังไม่มีการเปิดเผยออกมาแต่จากภาพที่ได้มาทั้ง 5 ทำให้เราได้เห็นเรือนร่างที่ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นโดยเฉพาะใบหน้าที่มีความสปอร์ตอยู่เต็มตัว พร้อมโคมไฟหน้าแบบ Projector ที่ลงตัวด้วยกระจังหน้าแบบโครเมี่ยมให้ความหรูหราไปพร้อมกันด้านข้างรถรุ่นนี้มาพร้อมตัวถังแบบ 4 ประตู ตามแบบฉบับรถนั่งซีดานในขณะที่บั้นท้ายลงตัวด้วยไฟท้ายดีไซน์สปอร์ตส่วนเรื่องเครื่องยนต์คาดว่าน่าจะเป็นเครื่องยนต์ Theta II ขนาด 2.4 ลิตรที่ตอบสนองการขับขี่ด้วยระบบเกียร์อัตโนมัต 6 สปีด ในที่สุดก็ได้เวลาสักทีที่รถรุ่นนี้จะตะลุยเมืองไทยหลังเมืองนอกปล่อยขายไปได้ระยะหนึ่งแล้ว New! Hyundai Sonata นัน เป็นรถที่ได้รับการยอมรับทั่ว โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดอเมริกา ที่ล่าสุดสามารถผงาดขึ้นมายืนอยู่ในตลาดอันดับที่ 2 ได้ เป็นรองแค่ toyota เท่านั้น















14.2.54

เมื่้อสองศาสตร์..จับมือกันสร้างสรรค์นาฬิกา






          ดนตรีและแฟชั่นเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดกันเสมอ สีสันของวัฒนธรรมทางดนตรีส่งผลต่อแรงบันดาลใจของดีไซเนอร์และศิลปินเองก็ ต้องการสื่อตัวตนออกมาโดยใช้แฟชั่น

เมื่อแบรนด์นาฬิกาและจิวเวลรี่ ระดับโลกอย่าง กุชชี่ จับมือกับเดอะ เรคอร์ดดิ้งอคาเดมี่ องค์กรดนตรีที่มีชื่อเสียงออกคอลเลคชั่นพิเศษ “แกรมมี่ คอลเลคชั่น” เป็นการผสมผสานอย่างมีเอกลักษณ์ระหว่างดนตรีและแฟชั่น โดย ฟรีด้า เจียนนินี่ ครีเอทีฟ ไดเร็คเตอร์ของกุชชี่

เริ่มจากนาฬิกาที่มีรูปลักษณ์อันทันสมัยซึ่งได้แรงบันดาลใจจากความหลงใหลในเสียงดนตรี ผลิตในคอลเลคชั่น ไอ-กุชชี่ ซึ่งเป็นนาฬิกาดิจิตอลคอลเลคชั่นแรกของกุชชี่และเป็นที่ประทับใจของคนรัก นาฬิกาทั่วโลกเพราะนอกจากรูปลักษณ์อันสะดุดตาแล้วยังมีคุณสมบัติที่หลากหลาย สามารถแสดงเวลาของ 2 สถานที่และวันที่ได้พร้อมกัน ขนาดใหญ่ดูเวลาสะดวกขอบหน้าปัดสีดำล้อมด้วย พีวีดี แสตนเลส-สตีลสีเหลืองทอง สายนาฬิกาสไตล์สปอร์ตทำจากยางมีให้เลือกทั้งสีขาวและสีดำประทับโลโก้ของกุชชี่และแกรมมี่บนสายส่วนด้านหลังของตัวเรือนประทับโลโก้แกรมมี่ อวอร์ด นอกจากนี้ยังมีรุ่นที่ประดับเพชรรอบหน้าปัด 55 เม็ด รวม 1.37 กะรัตเพิ่มความหรูหราสง่างาม

นอกจากนาฬิกาแล้วในคอลเลคชั่นพิเศษนี้ยังมีเครื่องประดับเงินในรูปแบบแท็กห้อยคอ 4 รูปแบบ ทั้งสีเงิน สีดำ หรือประดับเพชร โดยมีหีบเพลงสัญลักษณ์ของแกรมมี่ อวอร์ดที่ทำจากทอง18เคอยู่ตรงกลาง ด้านล่างเป็นโลโก้กุชชี่หากชอบประกายระยับของเพชรก็มีรุ่นที่ประดับเพชรเม็ดเล็กๆ 16 เม็ดรอบหีบเพลง รวม 0.16 กะรัตให้เลือก

        การร่วมมือกันระหว่างกุชชี่และเดอะเรคอร์ดดิ้ง อคาเดมี่ในครั้งนี้ถือเป็นความตั้งใจของกุชชี่ในการอนุรักษ์ศิลปะ เพราะเดอะ เรคอร์ดดิ้ง อคาเดมี่เป็นองค์กรทางดนตรีที่มีชื่อเสียง นอกจากจะจัดงานแจกรางวัลแกรมมี่ให้กับศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานทางดนตรีแล้ว ยังส่งเสริมวัฒนธรรมและคุณภาพชีวิตของผู้ประกอบอาชีพในวงการและตลาดดนตรี พร้อมทำหน้าที่สำคัญในการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบอาชีพทางดนตรีอีกด้วย
ที่มาข้อมูลจาก
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
dnshopaholic@gmail.com

เทคโนโลยีเเอนดรอยด์..ยกระดับสมาร์ทโฟน





          เมื่อพูดถึง แอนดรอยด์ ผู้ใช้หลายคนอาจจะสงสัยว่าคืออะไร วันนี้เราจะมาเฉลยทุกข้อสงสัย สำหรับแอนดรอยด์ว่าคืออะไรและมีที่มาที่ไปอย่างไรจะได้ตามเทรนด์กระแส ในยุคเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้

แอนดรอยด์ (Android) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับโทรศัพท์มือถือ ทำงานบนลินุกซ์ เคอร์เนล พัฒนาโดยบริษัทกูเกิล และ Open Handset Alliance ทางกูเกิลได้เปิดให้นักพัฒนาสมามารถแก้ใขโค๊ตต่างๆ ด้วยภาษาจาวา และควบคุมอุปกรณ์ผ่านทางชุด Java libraries ที่กูเกิลพัฒนาขึ้น

แอนดรอยด์ได้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 โดยทางกูเกิลได้ประกาศก่อตั้ง Open Handset Alliance กลุ่มบริษัทฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์ และการสื่อสาร 48 แห่ง ที่ร่วมมือกันเพื่อพัฒนามาตราฐานเปิดสำหรับอุปกรณ์มือถือลิขสิทธิ์ของโค๊ตแอนดรอยด์นี้จะใช้ในลักษณะของซอฟต์แวร์เสรี
ตั้งแต่วันที iPhone เผยโฉมอวดสายตาชาวโลก ผู้ใช้ต่างก็แห่แหนจับจองเป็นเจ้าของแก็ดเจ็ตที่แสนเซ็กซี่ของแอปเปิ้ลกันอย่างไม่ลืมหูลืมตาจนทำให้มือถือน้องใหม่สามารถเกิดในตลาดได้อย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งเบอร์หนึ่งอย่างโนเกียยังต้องหันมาเอาดีทางด้านการออกแบบที่เน้นแฟชั่นบ้างเหมือนกัน นอกจากนี้สมรภูมิสมาร์ทโฟนยังทะลุจุดเดือดขึ้นไปอีก เมื่อ Palm Pre และ Blackberry Bold เผยโฉมออกมา อย่างไรก็ตามคู่แข่งในตลาดที่ดูอาจจะเป็นม้ามึด เพราะได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตมือถือหลายค่ายอย่าง Android ย่อมต้องมีดีมิใช่น้อย ไม่เช่นนั้นเราคงจะไม่เห็นมือถือรุ่นใหม่ๆที่ทะยอยกันออกมาใช้โอเอสตัวนี้อย่างต่อเนื่อง ว่าแต่ ทำไมบริษัทเหล่านี้จึงปักใจเชื่อว่า ระบบปฏิบัติการมือถือแบบเปิดจะช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขันให้กับพวกเขา สิบเหตุผลต่อไปนี้อาจให้คำตอบกับคุณได้





มาตรฐานเปิด จุด เด่นที่แตกต่างของการเป็นโอเพ่นซอร์สของแอนดรอยด์ก็คือ การไม่ผูกติดกับมือถือของผู้ผลิตเจ้าใดเจ้าหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็น iPhone ของ Apple มาตรฐานที่ใช้ก็ต้องมาจากแอปเปิ้ลเท่านั้น รวมถึงแอพพลิเคชันที่ต้องผ่านการ approved จากทางแอปเปิ้ลอีกด้วย ซึงคำว่า”มาตรฐานเปิด”ทำให้มือถือแอนดรอยด์เปิดกว้างสำหรับสิ่งใหม่ๆได้มากกว่า แอพพลิเคชันที่พัฒนาได้ง่ายกว่าเพราะมีข้อมูลให้ค้นคว้ามากมาย รวมถึงการพัฒนาอุปกรณ์เสริมต่างๆ อีกด้วย
* แอพพลิเคชัน มากกว่า แม้วันนี้ iPhone จะเป็นจ้าวแห่งแอพพลิเคชันบนมือถือแต่เชือว่าด้วยความเป็นมาตรฐานเปิดจะทำให้มีนักพัฒนามากมายจากทั่วโลกให้ความสนใจที่จะทำแอพฯบนแอนดรอยด์ซึ่งผลที่ตามมาก็คือผู้ใช้จะมีทางเลือกในการใช้แอพฯมากขึ้นโอกาสเติบโตของแอพพลิเคชันบนนี้จึงไม่มีข้อจำกัดเหมือน iPhone ที่ต้องผ่านการพิจารณาจาก Apple เท่านั้น

ระบบรักษาความ ปลอดภัย เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นประเด็นใหญ่สำหรับการใช้มือถือฉลาดๆ อย่างสมาร์ทโฟน เพราะมันคือคอมพิวเตอร์ที่รันโปรแกรมโทรศัพท์ดีๆนั่นเองซึ่งในสภาพแวดล้อมของ Open Source เรื่องของการอัพเดตถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดโดยเฉพาะเรื่องของความปลอดภัยซึ่งหากสังเกตจะพบว่าเวลาที่มีการพบช่องโหว่ชุมชนโอเพ่นซอร์สจะจัดทำอัพเดตออกมาอย่างรวดเร็วแตกต่างจากองค์กรธุรกิจที่จะต้องมีการตรวจสอบพิจารณาก่อนที่จะเริ่มดำเนินการแก้ไข
* ปรับแต่งการทำงานได้อย่าง ยืดหยุ่น สำหรับผู้ใช้ระดับแอดแวนซ์ ความต้องการในความสามารถของการปรับแต่งการทำงานได้อย่างยืดหยุ่นจะอยู่ใน อันดับต้นๆ ในขณะที่ iPhone จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้มีโอกาสปรับแต่งการทำงานน้อยมาก แม้กระทั่งอินเตอร์เฟซของการทำงาน ในขณะที่โอเอสมือถือทีเป็นโอเพ่นซอร์สจะมีช่องทางในการปรับแต่งการทำงาน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการ และความถนัดในกาใช้งานของผู้ใช้ได้มากกว่า







* ความ สามารถในการเชื่อมต่อ ประเด็นนี้ไม่ได้หมายถึงการเชื่อมต่อกับ เครือข่าย 3G, EDGE หรือ WiFi แต่เป็นเรื่องของการเชื่อมต่อการทำงานร่วม (sync) กับพีซี หากเป็น iPhone ทุกอย่างต้องทำผ่าน iTunes ความพยายามที่จะทำอะไรนอกแอพพลิเคชันตัวนี้ อาจทำให้ต้องเผชิญกับสิ่งไม่คาดฝัน ในขณะที่มือถือที่ใช้โอเอสระบบเปิด คอมพิวเตอร์จะมองเห็นเป็นสตอเรจตัวหนึ่งที่สามารถเข้าไปจัดการได้อย่างง่าย ดาย

* ราคา การใช้แอนดรอยด์เป็นระบบปฏิบัติการให้กับสมาร์ทโฟนจะทำให้ต้นทุนของมือถือต่ำลงกว่าใช้โอเอสระบบปิดที่ต้องเสียค่าไลเซนส์ ดังนั้นราคาของมือถือแอนดรอยด์จึงมีแนวโน้มที่จะถูกกว่าสมาร์ทโฟนของเจ้า อื่นๆ อย่างแน่นอน

ความสามารถในการทำหลายงานพร้อมกัน แอนดรอยด์จะทำให้ผู้ใช้สามารถเปิดแอพฯหลายตัวทำงานได้พรัอมกันอย่างสมบูรณ์ โดยไม่มีการขัดแย้งการทำงานระหว่างกัน โดยเฉพาะในขณะทีต้องใช้ฟังก์ชันโทรศัพท์ไปพร้อมๆ กับการรันแอพฯตัวอื่นๆ
* Push Gmail แอพพลิเคชันบน Google ส่วนใหญ่จะทำงานร่วมกับแอนดรอยด์ได้ราวกับเป็นเนื้อเดียว การใช้บริการ Gmail บนมือถือแอนดรอยด์จึงง่ายมาก ผู้ใช้ไม่ต้องเปิดแอพฯ เพื่อรอโหลด Gmail เหมือนสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ เพราะเมล์ไคลเอ็นต์อยู่ในระบบปฏิบัติการ พอเปิดแอพฯปุ๊บก็รับเมล์ได้ทันที
* นักพัฒนา ข้อนี้ แทบไม่ต้องอธิบายอะไรมาก นักพัฒนากลุ่มโอเพ่นซอร์สมีอยู่ทั่วโลก ต่างพร้อมที่จะพัฒนาสร้างสรรค์ แอพพลิเคชันใหม่ๆให้เกิดขึ้นตลอดเวลาโดยไม่ย่ำอยู่กับที่และที่สำคัญคอยรับฟังเสียงเรียกร้องของความต้องการจากผู้ใช้เป็นหลักในการ พัฒนาสร้างสรรค์แอพฯใหม่ๆ ซึ่งมาตรฐานเปิดของ Android จะทำให้นักพัฒนาอยากทำให้มือถือทำอะไรได้มากกว่าที่เราได้ใช้กันอยู่ทุก วันนี้อย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย
* ความคิดสร้างสรรค์ ประเด็น นี้จะเป็นผลต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว เนื่องจากความเป็นมาตรฐานเปิด ทำให้ไม่ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์เชื่อว่าแอพฯที่เราไม่เคยคาดคิดว่ามันจะอยู่ในมือถือได้ จะมีให้เห็นเมื่อสมาร์ทโฟนที่ใช้แอนดรอยด์แพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆตัวอย่างเช่น การมีเว็บเซิร์ฟเวอร์บนมือถือ หรือ CMS เก่งๆตลอดจนระบบรักษาความปลอดภัยที่ใช้ Biometric ความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้ นอกจากจะเป็นประโยชน์กับผู้ใช้แล้ว มันยังช่วยให้บริษัทผู้ผลิตมือถือมีโอกาสพัฒนาต่อยอดได้อีกมากมายอีกด้วย

มี่มาข้อมูลจาก

www.isnhotnews.com

13.2.54

KIA Picanto..กลับมาคราวนี้ขอประกาศศักดา






         ถ้าพูดถึงค่ายรถยนต์นั้งจากเเดนกิมจิอย่าง KIA แล้วหละ่ก็ยังถือว่าชื่อเสียงยังติดหูผู้ใช้รถใช้ถนน ในบ้านเราพอสมควรโดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้รถระดับกลางและระดับบนในบ้านเรา แต่ถ้าพูดถึงในเกาหลีแล้วหละ่ก็ทาง KIA MOTOR นี่ถือว่ากำลังมาแรงอย่างมาก ล่าสุดกำลังบุกตลาดรถ CITY CAR ในต่างประเทศเเละในเกาหลีเอง อย่างเจ้า KIA Picanto ซึ่งออกวางจำหน่ายที่ต่างประเทศและในเกาหลีมาแล้วก่อนหน้านี้เเละในปี 2011 นี้ก็กำลังจะเปิดตัวอีกรอบแบบมีการปรับเปลี่ยนกันยกใหญ่โดยเป้าหมายการตลาดหรือกลุ่ม Target ของ Kia นี้จะค่อนข้างเน้นไปที่กลุ่มผู้ใช้รถในภูมิภาคในระเเวกเอเชียหรือเเถวเพื่อนบ้านซะมากกว่าโดยแตกต่างจากเพื่อนร่วมสายเลือดอย่าง Hyundai ที่หันมาเอาดีโดยการเจาะตลาดรถยนต์ทางฝั่งยุโรปและทางฝั่งอเมริกาเป็นหลักจนประสบความสำเร็จได้ดิบได้ดีแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันโดยทางด้านของบริษัท Kia ในปัจจุบันนี้จะหันมาเอาดีทางด้านรถยนต์เอนกประสงค์หรือรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือประหยัดพลังงานเป็นหลักโดยมีการออกแบบรูปร่างหน้าตาทำออกมาแล้วรูปทรงใกล้เคียงกับรถยนต์ในค่ายรถฝั่งเเดนปลาดิบเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่ทิ้งลายสมรรถนะคุณภาพของรถถยนต์จากแดนกิมจิที่เราๆท่านๆทราบกันเป็นอย่างดีเเต่สำหรับกระเเสรถยนต์ในเเดนกิมจิเองเเล้วนั้น Kia กลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมากชนิดที่ว่าบูมกันสุดๆเรียกว่าได้รับกระแสตอบรับหรือความนิยมจากชาวเกาหลีเองเป็นทุนเดิมสูงไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อ Hyundai หรือ Kia เองก็ตามที

       Picanto เป็น รถยนต์ขนาดเล็กที่ KIA ผลิตขึ้นมาเพื่อเจาะตลาดในกลุ่มซิติคาร์ เปิดตัวครั้งแรกในปี 2004 และในบ้านเราก็คุ้นเคยกันด้วยเพราะมีการนำเข้ามาขายอยู่พักหนึ่ง ส่วนในเกาหลีใต้เอง รถยนต์รุ่นนี้จะรู้จักกันในอีกชื่อ ซึ่งเกียใช้ชื่อว่ามอร์นิ่ง เช่นเดียวกับตลาดกลุ่มอื่น เช่น ไต้หวันจะใช้ชื่อว่ายูโรสตาร์ และนิวมอร์นิ่งในเวียตนามในแง่ของการออกแบบถือเป็นการพลิกโฉมอีกครั้งและแน่นอนว่าปีเตอร์เรเยอร์คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังในการพลิกภาพลักษณ์รถยนต์ของ KIA เหมือนกับที่ผ่านๆ มา และตัวถังที่ทำตลาดถ้าเป็นตลาดโลกจะใช้แฮทช์แบ็ก 5 ประตูเป็นหลัก แต่สำหรับตลาดยุโรปนอกจาก 5 ประตูแล้วก็จะมีแบบแฮทช์แบ็ก 3 ประตูเป็นอีกทางเลือก

                มิติตัวถังมาพร้อมกับขนาดกะทัดรัดเน้นความคล่องตัวสำหรับการใช้งานในเมืองโดยมีความยาวอยู่ที่ 3,595 มิลลิเมตร กว้าง 1,595 มิลลิเมตร สูง 1,495 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,385 มิลลิเมตร มีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายอยู่ 200 ลิตรและจะเพิ่มขึ้นเมื่อพับเบาะหลังลงมาทั้งหมดและสำหรับคนที่คาดหวังความสะดวกสบายก็ไม่ต้องผิดหวังเพราะมีมาครบทั้งครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ, ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์, กระจกแบบ Jam Protection, ระบบ Keyless และระบบ Parking Sensorส่วนเครื่องยนต์ ในตอนแรก เกียร์บอกว่ามีทั้งหมด 4 รุ่นสำหรับวางขายแต่ทว่าสเปกของมอร์นิ่งที่ทำตลาดในเกาหลีใต้มีเพียงแบบเดียว คือ 3 สูบ 1,000 ซีซี 82 แรงม้า ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 9.6 กก.-ม. ที่ 3,500 รอบ/นาที ระบบ ส่งกำลังมีใก้เลือกทั้งแบบธรรมดา 5 จังหวะและอัตโนมัติ 4 จังหวะ ซึ่งทั้ง 2 รุ่นตัวรถจะมีน้ำหนักต่าง ถ้าเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดาอยู่ที่ 880 กิโลกรัม แต่รุ่นเกียร์อัตโนมัติน้ำหนักจะมากขึ้นอีก 20 กิโลกรัม
              อย่างไรก็ตามสเปกอื่นๆของ KIA Picanto ที่จะขายในตลาดทั่วโลก นอกจากเครื่องยนต์เบนซิน 1,000 ซีซีรุ่นนี้แล้ว ก็ยังมีทางเลือกอื่นอีก เช่น 1,200 ซีซี และแบบเชื้อเพลิง 2 แบบ หรือ Bi-Fuel รวมถึงรุ่นแบบ FFV หรือ Flex Fuel Vehicle ร่วมอีกด้วยในเกาหลีใต้ KIA Picanto ขายแล้ว แต่สำหรับตลาดโลกต้องรอการเปิดตัวที่เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2011 ต้นเดือนมีนาคมนี้ ขณะที่บ้านเราจะมีเข้ามาขายเหมือนกับรุ่นแรกหรือไม่นั้นคงต้องรอดูกันต่อไป


  
 

Proton SAGA ประกาศศึก ECO-CAR..ไม่สน มาร์ช กับ บรีโอ่

         ปี 2011 ถือว่ากำลังจะเป็นปีทองของวงการรถยนต์ขนาดเล็กหรือ อีโคคาร์ เพราะหลายๆค่ายต่างเริ่มส่อเค้าสุ่มเก็บตัวเพื่อรอปล่อยไม้เด็ดของตนกันยกใหญ่ เเน่นอนว่าผู้บุกเบิกอีโคคาร์รายเเรกในไทยอย่าง NISSAN ที่กำลังจะเจอคู่แข็งที่โหดหินอย่าง HONDA ที่กำลังจะประกาศศึกชิงเจ้าอีโคคาร์ อย่าง HONDA BRIO ต้นเดือนมีนาคมนี้ ล่าสุดค่ายรถจากมาเลย์เพื่อนบ้านของเราเองก็ได้ชิงตัดหน้าเปิดตัว รถเล็กราคาประหยัดอย่าง PROTON SAGA ไปเืมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมานี้เองซึ่งชว่ยตอกย้ำกระเเสของรถยนต์อีโคคาร์ในบ้านเราที่กำลังร้อนแรงให้เพิ่มดีกรีสูงขึ้นไปอีก



Proton SAGA เปิดตัวสู่ตลาดเมื่อต้นเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2010 และแน่นอนไม่ใช่อีโคคาร์ในความหมายของทางราชการ แต่ในแง่ของตำแหน่งทางการตลาดแล้ว นับว่าเป็นคู่แข่งในกลุ่มเดียวกัน หรือรถยนต์ที่ครอบคลุมระดับราคากว่า 300,000 - 500,000 บาท

      จริงๆแล้ว Proton SAGA ชิงเข้าสู่ตลาดนี้มาระยะหนึ่งแล้ว เพียงแต่เริ่มประเดิมกับ โปรตอน แซฟวี”(Savvy) ในแบบแฮ็ทช์แบ็ก หรือ 5 ประตู ซึ่งถือ ว่าชนกับ นิสสัน มาร์ช มากกว่าเสียอีก ดังนั้นการเปิดตัวรุ่นซาก้าจึงน่าจะเป็นการชิงเปิดเกมอีกครั้ง ก่อนที่รุ่น 4 ประตูของนิสสันจะออกมาในปีนี้ และยังเป็นการป่วนกลุ่มรถซับคอมแพกต์อย่าง ฟอร์ด เฟียสต้า หรือเชฟโรเลต อาวีโอได้อีกด้วย
 
       จะว่าไป Proton SAGA ถือเป็นเวอร์ชั่น 4 ประตูของรุ่นแซฟวีก็ได้ เพราะใช้โครงสร้างแชสซีส์เดียวกัน แต่ได้มีการขยายฐานล้อให้ยาวขึ้นเป็น 2,465 มม. รวมถึงห้องเครื่องยนต์ที่ได้มีการขยายปรับปรุงใหม่ เพื่อให้สามารถรองรับเครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่กว่าได้

ดังนั้นมองภาพรวมๆ ด้วยสายตา ซาก้านับเป็นรถที่ดูใหญ่กว่ามาร์ชมาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าภายในจะใหญ่เหมือนข้างนอก ยิ่งหากไปเทียบกับ นิสสัน มาร์ช หรือฟอร์ด เฟียสต้า ที่เทคโนโลยีการออกแบบสมัยใหม่ดูภายนอกอาจจะเล็กแต่ห้องโดยสารกว้างขวางทีเดียว เพราะรถสมัยใหม่จะลดขนาดเครื่องยนต์ให้เล็กกะทัดรัดลงใช้พื้นที่ห้องเครื่องให้พอดีเหมาะสม ไม่ปล่อยโล่งว่างเหมือนรถสมัยก่อน แล้วขยายฐานล้อ หรือห้องโดยสารให้ยาว-กว้างขึ้น


       ขณะที่เมื่อมาดู Proton SAGA ยัง คงมาในแบบรถเจเนอเรชันก่อน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับมาจากค่ายรถญี่ปุ่น ทำให้ภายในห้องโดยสารไม่ได้กว้างขวาง หรือแตกต่างจากคู่แข่งมากนัก เช่นเดียวการออกแบบเส้นสายภายนอก ตั้งแต่เสาหน้ายาวไปจนถึงด้านหลัง โดยสูงโค้งไม่เพรียวเช่นการออกแบบรถรุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบัน ยังดีว่าช่วงหน้าเส้นสายดูร่วมสมัยหน่อย ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า กระจัง และกันชนหน้า

                 สำหรับ วัสดุอุปกรณ์ภายใน คงต้องบอกว่าคุณภาพยังเป็นรองคู่แข่งรถญี่ปุ่นอยู่พอสมควร แต่การประกอบค่อนข้างใช้ได้ หากเทียบกับรถจากจีนยังถือว่าดีกว่า เบาะ นั่งเป็นผ้าดูแบนๆ บอบบาง ทำให้หวั่นใจเวลาเดินทางไกลน่าจะแย่แน่ๆ ปรากฎว่าวิ่งเช้ายันบ่ายคล้อยร่วม 400 กิโลเมตร กลับไม่เป็นปัญหาให้คิดถึงมันอีกเลย แม้จะไม่โอบกระชับนั่งสบายมากนัก ซึ่งกับราคาระดับนี้ก็พอใช้ได้

 
           เครื่องยนต์ CAMPRO แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 1.3 ลิตร ให้กำลัง 95 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 120 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ แม้จะไม่ปรู๊ดปร๊าดแต่ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายนัก หากเทียบกับคู่แข่งอาจจะด้อยกว่า นิสสัน มาร์ชบ้าง แต่ใกล้เคียงกับ เชฟโรเลต อาวีโอ(1.4L) ส่วนฟอร์ด เฟียสต้า คงต้องตัดไป เพราะเป็นเกียร์ธรรมดา 
              สำหรับอัตราสิ้นเปลือง ตั้งแต่เริ่มสตาร์ทมีน้ำมันเต็มถัง และวิ่งจนไฟเตือนขึ้น ระยะทางที่วิ่งไป 370 กิโลเมตร แวะเข้าปั๊มเติมน้ำมันคืนไปเต็มถัง 32 ลิตร เบ็ดเสร็จสิ้นเปลืองอยู่ที่ประมาณ 11.5 กิโลเมตร/ลิตร เห็นแล้วซดเอาการทีเดียว เมื่อเทียบกับรถเล็กกลุ่มเดียวกัน แต่ในเอกสารแนะนำ 1 ในจุดเด่นหลายข้อของ Proton SAGA นับเป็นรถที่เหมาะกับการติด LPG



























ที่มาข้อมูล ผู้จัดการออนไลน์ ASTV

12.2.54

บีเอ็มชู k600..ลงตลาดชิงศึกเจ้ามอเตอร์ไซต์


BMW K1600 GTL

              นาย กมลชาติ ประวิตร ผู้จัดการทั่วไป บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย กล่าวว่า งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ ปีนี้ ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 25 มี.ค.นี้ ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ เมืองทองธานี บีเอ็มดับเบิลยูจะเปิดตัวรถใหม่คือ K 1600 GTL ซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์ทัวร์ริ่ง เครื่องยนต์ 6 สูบคันแรกจากบีเอ็มดับเบิลยู โดยเป็นเครื่องยนต์แถวเรียง ความจุ 1,649 ซีซี กำลังสูงสุด 160 แรงม้าที่ 7,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 175 นิวตัน-เมตรที่ 5,250 รอบ/นาที

ทั้งนี้เครื่องยนต์ดังกล่าว ใช้เทคโนโลยีไลท์เวทในการผลิต ทำให้มีน้ำหนักเบาคือ 102.6 กก. และน้ำหนักรวม 348 กก. และออกแบบให้สมดุลในตัวเอง ทำให้ไม่ต้องใช้ บาลานซ์ ชาฟท์ เป็นการลดการใช้ชิ้นส่วนลง

นอกจากนี้ K 1600 GTL ยังติดตั้งระบบเพื่อความปลอดภัยเข้ามาเต็มที่ เช่น  DTC หรือ Dynamic Traction Control เพื่อช่วยปรับการจ่ายกำลังให้เหมาะสมกับสภาพถนนที่แตกต่างกัน สามารถปรับได้ 3 โหมด ได้แก่ Rain, Road และ Dynamic และระบบ ESA II หรือ  Electronic Suspension Adjustment ที่ช่วยปรับความแข็ง-นุ่มและปรับอัตราการคืนตัวของระบบแดมเปอร์ทั้งหน้าและ หลัง 3 โหมด ได้แก่ Sport, Normal และ Comfort

        นอกจากนี้ก็ยังมีระบบ แสดงผลข้อมูล ผ่านจอมอนิเตอร์ขนาด 5.7 นิ้ว  และยังทำหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมสั่งการระบบอินโฟเทนเมนท์ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการประยุกต์ใช้กับรถจักรยานยนต์ ในส่วนของกระจกบังลมหน้า ปรับไฟฟ้า และมีเมมโมรี่จำตำแหน่ง เพื่อความสะดวกในการใช้งาน โดยรูปทรงและตำแหน่งของมัน ออกแบบโดยหลักแอโร่ ไดนามิคที่ทดสอบในอุโมงค์ลม เพื่อลดแรงต้าน และลมหวน เมื่อใช้ความสูงอีกด้วย
       นอกจากนั้น บนเวที ชาเลนเจอร์ ฮอล์ ยังมี  G 650 GS ซึ่งเป็นจักรยานยนต์เอน ดูโร สูบเดียว ขนาด 652 ซีซี หัวฉีด หัวเทียนคู่ ให้กำลังสูงสุด 48 แรงม้าที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 60 นิวตัน-เมตรที่ 5,000 รอบ/นาที ส่วน S 1000 RR เครื่องยนต์ 4 สูบ 1,000 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 193 แรงม้าที่ 13,000 รอบ/นาที  แรงบิดสูงสุด 112 นิวตัน-เมตรที่ 9,750 รอบ/นาที มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ภายใน 2.9 วินาทีและอีกคันหนึ่งคือ F 800 R รถสปอร์ต ที่สร้างชื่อในการแข่งขันการขับจักรยานยนต์แบบผาดโผน โดยการเป็นรถคู่ใจของแชมป์โลกการขับผาดโผน 4 สมัย คริส ไฟเฟอร์ เครื่องยนต์  2 สูบ 800 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 88 แรงม้าที่ 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 86 นิวตัน-เมตรที่ 6,000 รอบ/นาที มีจุดเด่นในเรื่องของการผลิตกำลังขับเคลื่อนในช่วงรอบที่กว้างโดยเฉพาะ ระหว่างรอบ 5,000-8,000 รอบ/นาที น้ำหนักตัวถังรวมน้ำมัน 199 กก.



BMW G 650 GS


BMW K 1300 RR


BMW F 800 R


ที่มาข้อมูลจาก

www.thaibizcenter.com

11.2.54

หัวเทียน..สิ่งเล็กน้อยที่ไม่ควรมองข้าม






      ถ้าพูดถึงการใช้งานรถยนต์โดยทั่วไปเมื่อต้องถึงเวลาเช็คสภาพรถยนต์ เรามักจะคำนึงถึงจุดสำคัญต่างๆเช่น ลมยาง,หม้อน้ำ,น้ำมันเครื่อง,เเบตเตอรี่ ฯลฯ เเต่คุณรู้ไหมว่าจะมีสักกี่คนที่จะคำนึงถึงอายุการใช้งานของหัวเทียน ซึ่งเป็นชิ้นส่วนการทำงานชิ้นเล็กๆที่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของการทำงานของเครื่องยนต์เเล้วถ้าเกิดว่าเราใช้งานไปนานๆเเล้วขาดการดูแลเอาใจใส่ ผลเสียที่จะเกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อการทำงานของเครื่องยนต์ในระยะยาวอย่างเเน่นอน

   เราสามารถแบ่งหัวเทียนออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ
  1. หัวเทียนร้อน
  2. หัวเทียนเย็น
หัวเทียนร้อน คือ หัวเทียนที่มีการระบายความร้อนจากเขี้ยวหัวเทียนไปยังฝาสูบนานมากทำให้การ ระบายความร้อนเป็นไปได้ยากมาก หัวเทียนแบบนี้จึงเหมาะสมกับเครื่องยนต์ความเร็วรอบต่ำและใช้งานระยะสั้นๆ ครับ 

หัวเทียนเย็น คือ หัวเทียนที่มีการระบายความร้อนจากเขี้ยวหัวเทียนไปยังฝาสูบได้รวดเร็ว หัวเทียนแบบนี้จึงเหมาะสมกับการใช้งานกับเครื่องยนต์ที่ความเร็วรอบสูงหรือ การใช้งานที่มีระยะทางไกลๆ ครับ
เราจะรู้ได้ไงว่าหัวเทียนร้อน / หัวเทียนเย็น ที่หัวเทียนจะมีเบอร์บอกครับ ตามตัวอย่างครับ B K R 6 E B คือ ขนาดความโตของเกลียวและขนาดของหกเหลียม K คือ ลักษณะของโครงสร้าง R คือ ค่าความต้านทาน 6 คือ ค่าความร้อนของหัวเทียน E คือ ขนาดของความยาวเกลียว ค่าความร้อนของหัวเทียนดูไดจากตัวเลขมากจะเป็นแบบเย็น / ตัวเลขน้อยจะเป็นแบบร้อน



หัวเทียนสำหรับรถทั่วไปปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 5 ประเภท
    เราสามารถตรวจสอบสภาพของหัวเทียนออกเป็นลักษณะต่างๆคือ

     1.  ถ้าหัวเทียนมีสภาพดำแห้ง สามารถเช็ดออกได้ง่าย ลักษณะเช่นนี้บอกให้เราได้ทราบว่า ส่วนผสมของน้ำมันเชื้อเพลิง มีอัตราส่วนผสมที่มากกว่าอากาศ (ส่วนผสมหนา) ซึ่งคราบที่พบคือ ส่วนที่เหลือตกค้างของละอองน้ำมันเชื้อเพลิงที่มาก เกินกว่าความต้องการของเครื่องยนต์ การแก้ไขเบื้องต้นคือ ทำการปรับซ่อมของระบบการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ใหม่

     2.  หัวเทียนมีสภาพชุ่มน้ำมันเครื่อง ลักษณะเช่นนี้คือ อาการที่บ่งบอกว่าเครื่องยนต์เกิดการสึกหรอ และมีการเล็ดลอดของน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ สาเหตุอาจเกิดจากลูกสูบและแหวนลูกสูบเกิดการสึกหรอ กระบอกสูบ อาจมีรอยขูดขีดที่ลึกเป็นร่องบริเวณผนังกระบอกสูบหรืออาจเกิดการเสื่อมสภาพของซีลไกด์วาล์วบนฝาสูบ อาการเช่นนี้ ควรนำรถส่งให้ช่างทำการตรวจสอบและซ่อมบำรุง
     3.   หัวเทียน สภาพร้อนจัดลักษณะ กระเบื้องของหัวเทียนถูกเผาจนเป็นสีขาวเงาและเขี้ยวละลาย ซึ่งหัวเทียนในสภาพนี้เขี้ยวแกนกลางเขี้ยวไฟพร้อมทั้งกระเบื้องก็ละลายด้วย เนื่องจากอุณหภูมิในห้องเผาไหม้ร้อนจัดหัวเทียนไม่สามารถทนทานได้ อาการ กำลังเครื่องยนต์ตกต่ำในขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงหรือบรรทุกของหนักขึ้นทางลาดชันเป็นเวลานานและเร่งเครื่องด้วยความเร็วอย่างกระทันหัน เมื่อหัวเทียนมีความร้อนสูงจัดเขี้ยวของหัวเทียนจะละลายได้ ซึ่งทำให้หัว เทียนชำรุด และอาจทำให้ลูกสูบเสียหายได้ สาเหตุ ใช้หัวเทียนไม่เหมาะสม(ชนิดร้อนเกินไป) ระบบระบายความร้อนบกพร่องตั้งไฟจุดระเบิดแก่เกินไป ตั้งอัตราส่วนผสมบางไปใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่ดี(ออกเทนต่ำไป)

ที่มาข้อมูลจาก
http://www.geocities.com/cefiroff_club/plug.htm




9.2.54

โตโยต้าฟิตจัด..เตรียมส่ง TOYOTA YARIS HYBRID





       TOYOTA ยักษ์ใหญ่ของวงการยานยนต์โลก ฟิตจัดเตรียมส่ง TOYOTA YARIS HYBRID ป้อนสู่ภูมิภาค โดยออกโรงประเดิมที่งาน เจนีวา มอเตอร์โชว์ ซึ่งจะมีขึ้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต้นเดือนมีนาคมนี้ซึ่งเชื่อแน่นอนว่าบรรดาเหล่าแฟนคลับ โตโยต้า ยาริส ในเมืองไทยฟังแล้วคงจะรู้สึกตื่นเต้นกันไม่มากก็น้อยเพราะเจ้ารถ TOYOTA YARIS ในบ้านเราค่อนข้างจะได้รับความนิยมอย่างสูงเลยทีเดียวและก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่รถยนต์ยอดฮิตระดับล่างจะูผลิตออกมาในเวอร์ชั่น HYBRID ที่ในสายตาของผู้ใช้งานทั่วๆไปมองว่ารถยนต์ HYBRID นี้จะมีแต่เฉพาะในรถยนต์ระดับบนหรือระดับ HI Class เท่านั้นเหมือนอย่าง TOYOTA CAMRY HYBRID ที่กำลังสร้างชื่อเเละกำลังเป็นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นในต่างประเทศเองและในประเทศไทยซึ่งทางด้านของบริษัท TOYOTA น่าจะเอาประสบการณ์และการประสบความสำเร็จในจุดนี้เองเอามาเป็นจุดผลักดัน TOYOTA YARIS ให้คลอดออกมาในเวอร์ชั่นของ HYBRID เพื่อต้องการที่จะดึงส่วนแบ่งการตลาดมาจากค่ายรถยนต์คู่แข่งต่างๆที่กำลังมีทีท่ายึกยักชักเข้าชักออกอยู่กับเทคโนโลยี HYBRID ที่ณ.ขณะนี้ทางด้านของยักษ์ใหญ่อย่าง TOYOTA กำลังจะวิ่งแซงผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำออกไปหลายก้าวแบบที่เรียกว่ามองแทบไม่ติดฝุ่นกันเลยทีเดียวเเละคาดการณ์กันว่าทาง TOYOTA น่าจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทางด้านของเทคโนโลยียานยนต์ในที่สุด
               เเต่ถึงกระนั้นถ้าจะไม่กล่าวถึงคู่เเข่งคนสำคัญอย่างค่าย HONDA ที่เเทบจะไม่ได้เป็นรองค่าย TOYOTA หรือค่ายรถยนต์อื่นๆเลยในเรื่องของเทคโนโลยีเเละยังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี HYBRID กับรถยนต์ HONDA เเต่ตลาดสว่นใหญ่ของทาง HONDA HYBRID มักจะไปอยู่ทางฝั่งญี่ปุ่นเองเเละในส่วนของทางฝั่งยุโรปและอเมริกาเป็นหลักซึ่งในบ้านเราอาจจะยังไม่ค่อยมีข่าวคราวความเคลื่อนไหวของทางฝั่งค่าย HONDA เกี่ยวกับรถยนต์ HYBRID มากมายเท่ากับทางค่ายรถยนต์ TOYOTA ที่มักจะเป็นผู้ริเริ่มหรือเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยี HYBRID ในภูมิภาคหรือในระเเวกบ้านเรามากกว่าเเละทางบริาษัทผู้ผลิตอย่าง TOYOTA ก็คาดการณ์และคาดหวังไว้ว่าเจ้า TOYOTA YARIS HYBRID นี้จะเข้ามาได้รับความนิยมอย่างสูงแม้ว่าราคาของตัวรถอาจจะไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับ TOYOTA YARIS เวอร์ชั่นธรรมดาที่ออกขายกันมาก่อนหน้านี้ก็ตามที




          โตโยต้าทำข่าว (ลือ) ที่มีออกมาก่อนหน้านี้ให้กลายเป็นจริงเพราะเตรียมเผยโฉมเวอร์ชันไฮบริดของ “ โตโยต้า ยาริส ” ใหม่ออกมาให้สัมผัสกันอย่างแน่นอน อีกทั้งยังเตรียมรุกตลาดไฮบริดอีกระลอกด้วยอีกเวอร์ชันของพริอุสที่จะใช้ ชื่อว่า "พริอุส" พลัสตรงนี้ไม่มีการลือแต่อย่างใด เพราะทางโตโยต้าเผยภาพทีเซอร์ ซึ่งเป็นตัวถังด้านหน้าของ โตโยต้า ยาริส ไฮบริด หรือที่จะแปะป้ายว่า HSD ออกมาให้เห็นกันแล้ว โดยโตโยต้า ยาริส HSD หรือ Hybrid Synergy Drive จะอิงพื้นฐานตัวรถของโตโยต้า ยาริส หรือวิตซ์รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นเจนเนอเรชันที่ 3 ของซับคอมแพ็กต์สายพันธุ์นี้ที่เพิ่งเปิดตัวขายในญี่ปุ่นไปเมื่อปลายปี 2010 ที่ผ่านมา

           ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่าโตโยต้าจะผลิตรถยนต์ไฮบริดราคาไม่แพงโดยอิงพื้นฐานของรถยนต์ซับคอมแพ็กต์ออกมาขายแข่งกับฮอนด้า ฟิตที่เปิดตัวรุ่นไฮบริดออกมาเมื่อปีที่แล้วและข่าวนี้ถูกนำมาโยงเข้ากับโตโยต้ายาริสใหม่ที่กำลังมีคิวเปลี่ยนโฉมพอดี แต่ตอนนั้นทางโตโยต้าได้ออกมาปฏิเสธถึงข่าวนี้ไปก่อนที่จะกลายเป็นจริงในที่สุด โดยโตโยต้า ยาริส HSD จะมีไลน์ผลิตอยู่ที่โรงงานในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นฐานการผลิตของรถยนต์รุ่นนี้ในยุโรปมาตั้งแต่รุ่นแรกที่เปิดตัวปี 1999 อีกทั้งยาริส HSD จะเป็นรถยนต์รุ่นที่ 2 ต่อจากออริส HSD หรือโคโรลล่าไฮบริดที่ผลิตและเปิดตัวขายในยุโรป


MINI..เตรียมส่งคันทรี่เเมนออกลุยตลาด





            มินิคูเปอร์..สุดยอดรถที่เป็นตำนานด้วยรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์และได้รับความนิยมอย่างสูงไม่ว่าจะในต่างประเทศหรือในไทยซึ่งถ้าพูดถึงพัฒนาการของการเปลี่ยนแปลงทางด้านรูปโฉมหรือรูปทรงของทางมินิคูเปอร์แล้วหละ่ก็จากในหลายๆปีที่ผ่านมาถือว่ามีการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงทางด้านรูปโฉมที่น้อยมากส่วนใหญ่จะมีการพัฒนาการทางด้านองค์ประกอบภายในหรือทางด้านเครื่องยนต์เป็นหลักคือจะว่าไปแล้วการที่มินิคูเปอร์จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปโฉมกันสักครั้งนึงเเบบหมดจรดเนี้ยก็กินเวลาเป็นอย่างต่ำนับสิบปีกันเลยทีเดียวเเต่ด้วยเหตุผลที่ว่าทำไม "มินิคูเปอร์" ถึงมีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงรูปโฉมที่น้อยเป็นเพราะความเป็นเอกลักษณ์ของรูปทรงที่เล็กกระทัดรัดบวกกับการมีใบหน้าที่ค่อนข้างคลาสสิคจึงทำให้มินิคูเปอร์สามารถคงไว้หรือรักษารูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ที่มองยังไงก็ดูไม่เบื่อตาซะทีจนมาถึงตอนนี้ซึ่งก็ได้เวลาของการปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงรูปโฉมกันยกใหญ่อีกครั้งหนึ่ง (Body Change) ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนรูปโฉมใหม่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างรูปลักษณ์หน้าตาทั้งภายในและภายนอกแบบชนิดที่ว่าไม่เหลือเค้าโครงเดิมต้องมาดูกันต่อไปว่าสำหรับการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ในครั้งนี้จะเป็นที่ถูกอกถูกใจหรือผู้ที่หลงใหลคลั้งใค้ลในกลิ่นไอของเจ้ามินิคูเปอร์ได้เหมือนกับมินิคูเปอร์โฉมเดิมๆก่อนหน้านี้หรือไม่หรือยอดขายจะคงที่หรือมียอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นก็คงต้องมาติดตามดูกัน
           ซึ่งล่าสุดทางด้านของมินิคูเปอร์ก็ได้เปิดตัวเจ้า "มินิ คันทรี่เเมน" โฉมใหม่ล่าสุดออกมาให้ได้ยลโฉมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยมีรูปร่างหน้าตาที่ทันสมัยกว่าเดิมแต่ยังรักษาภาพรวมของความเป็น มินิคูเปอร์ได้อย่างครบถว้นโดยเจ้า มินิ คันทรีแมน มี 2 รุ่น คือ All 4 เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.6 ลิตร  Twin-Scroll Turbo  VALVETRONIC 184 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตรที่ 1,600-5,000 รอบ/นาที และสามารถเพิ่มเป็น 260 นิวตัน-เมตรในขณะเร่งแซงด้วยฟังก์ชั่น Overboost เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Steptronic ราคา 3,290,000 บาทและ มินิ คูเปอร์ คันทรีแมน เครื่องยนต์ 4 สูบ 1.6 ลิตร พร้อมเทคโนโลยีวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC 122 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 160 นิวตัน-เมตรที่ 4,250 รอบ/นาทีเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด  Steptronic ที่ ราคา 2,790,000 บาท  รวมถึงการเป็นรถคันแรกที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ เรียกว่าระบบ MINI Connected ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับโปรแกรม Twitter, Web news และ Web radio ซึ่งทำให้การฟังวิทยุจากประเทศต่างๆทั่วโลกได้และในอนาคตจะเปิดบริการเพิ่มขึ้นในส่วนโปรแกรม Facebook และ Google Local Searchทั้งนี้ระบบดังกล่าวจะทำงานร่วมกับ iPhone 4 ผ่านระบบเชื่อมต่อสัญญาณ Data GPRS หรือ 3G
 เมื่อมองภาพรวมของเจ้า"มินิ คันทรี่เเมน"นี้เเล้วนับว่าคุ้มค่ากับราคาที่เเลกกับสมรรถนะเเละเทคโนโลยีจริงๆ




















 

HONDA CIVIC HYBRID..พร้อมชน TOYOTA PRIUS

       



         หลังจากที่ TOYOTA PRIUS ได้เปิดตัวในเดือนมกราคมที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากบรรดาผู้ใช้รถในเมืองไทย หลายคนมีคำถามว่าเเล้วคู่แข็งคนสำคัญอย่าง HONDA หล่ะหายไปไหนซึ่งทางฝั่งค่าย HONDA เองถ้ามองจากพื้นเพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้แล้วหละ่ก็ทางด้านของเทคโนโลยี HYBRID ของทาง HONDA ไม่ได้เงียบหายไปไหนแต่ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตีคู่ไปกับทางค่าย TOYOTA อยู่แบบที่เรียกได้ว่าสูสีกันเลยทีเดียวเเต่เป้าหมายการตลาดของทางฝั่งค่าย HONDA เกี่ยวกับเทคโนโลยี HYBRID จะมุ้งเน้นอยู่กับกลุ่มลูกค้าที่อยู่ทางเเถบฝั่งยุโรปเเละก็ทางฝั่งอเมริกาเป็นหลักหรือจะเป็นที่ญี่ปุ่นเองรถยนต์ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่าง HONDA HYBRID ก็เป็นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงเเต่เนื่องจากว่าการที่ทาง HONDA ไม่ได้กระโดดมาลุยตลาดรถยนต์ HYBRID ในบ้านเราแบบเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนกับทางค่าย TOYOTA ก็เป็นเพราะยอดขายของรถยนต์ในเวอร์ชั่นธรรมดาหรือเวอร์ชั่นใช้น้ำมันทั่วๆไปสามารถทำยอดขายได้เป็นกอบเป็นกำอยู่แล้วตามกระแสนิยมรถยนต์นั้ง SUB COMPACT ในบ้านเราแต่แน่นอนว่าสำหรับการรุกเข้าสู่ตลาดรถยนต์เอเชียและในบ้านเราของ TOYOTA นั้นก็ถือว่าเป็นผลดีของวงการรถยนต์ในระแวกนี้ที่จะเป็นการดึงค่ายรถยักษ์ใหญ่ต่างๆให้เข้ามาแข่งขันและต่อสู้กันเพื่อแบ่งส่วนแบ่งทางการตลาดกันอย่างยกใหญ่ซึ่งผลประโยชน์โดยรวมก็จะตกแก่ผู้บริโภคอย่างเราๆท่านๆที่คาดหวังว่าจะได้ซื้อรถยนต์ HYBRID ในราคาที่ต่ำลงอย่างไม่น่าเชื่อและถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆกระแแสความนิยมรถยนต์ประหยัดพลังงาน HYBRID ในบ้านเราก็คงจะเพิ่มสูงมากขึ้นซึ่งในอนาคตอันใกล้แน่นอนว่าเมื่อเข้าสู่ยุคพลังงานขาดเเคลนเจ้าเทคโนโลยี HYBRID นี้จะต้องเข้ามาสู่ชีวิตประจำวันของผู้ใช้รถใช้ถนนเพิ่มมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันกันของเหล่าบรรดาผู้ผลิตที่ต่างหันหน้ากันพัฒนาเทคโนโลยี HYBRID กันอย่างยกใหญ่ซึ่งผลของการแข่งขันกันของเหล่าบรรดาผู้ผลิตนี้เองก็จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตรถยนต์ HYBRID นั้นต่ำลงในอนาคตอันใกล้นี้ดว้ย
              โดยทาง HONDA ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและได้ปล่อย HONDA CIVIC HYBRID ออกมาชนกับทาง PRIUS เเล้ว เเต่เริ่มจำหน่ายอยู่ในแถบอเมริกา เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร 8 วาล์ว i-VTEC 4สูบ  ผนวกกำลังกับ มอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงเป็นสูตรผสมที่รถไฮบริดมีกันครับทั้งนี้ผสมสานกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย เครื่องยต์จะถูกสั่งให้หยุดการทำงาน เปลี่ยนรูปแบบเป็นใช้การขับเคลื่อนจากเมอเตอร์ไฟฟ้าแทน เเถมเจ้าตัว CIVIC HYBRID ไม่ได้มามือเปล่ายังคว้ารางวัล Greenest Vehicles of 2010″ by the American Council for an Energy Efficient Economy จากทางอเมริกามาอีกดว้ย สว่นในเรื่องของราคาคาดว่าน่าจะออกมาถูกกว่าทางฝั่ง TOYOTA PRIUS เล็กน้อย ในสว่นของแฟนๆชาวไทยก็คงจะต้องอดใจรอกันไปก่อนคาดว่าอีกไม่ช้าน่าจะเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยเร็วๆนี้
















วิเคราะห์รถใหม่
NEW TOYOTA PRIUS เป็นรถยนต์นั้งอเนกประสงค์แบบสมบูรณ์แบบโดย TOYOTA PRIUS นี้ถูกผลิตขึ้นมาโดยมีพื้นฐานหรือต่อยอดมาจากรถยนต์ TOYOTA WISH แต่ TOYOTA PRIUS ได้เพิ่มการทำงานของระบบขับเคลื่อนมาเป็นแบบ HYBRID เพื่อเน้นทางด้านของการอนุรักษ์และการประหยัดพลังงานเป็นหลักแต่ในส่วนของ อัตราการขับเคลื่อนหรืออัตราการเร่งแซงไม่ได้ลดน้อยถอยลงแต่อย่าง
NEW HONDA BRIO เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการปรหยัดพลังงานเป็นอย่างมาก เพราะเป็นรถยนต์ที่ผลิตมาโดยอาศัยมาตรฐานรถยนต์ " อีโคคาร์ " เป็นเกณฑ์ในการผลิตจึงมั่นใจได้ว่าสามารถลดการใช้พลังงานหรือเผาผลาญได้ อย่างแน่นอนโดยสเปกหรือภาพโดยรวมของตัวรถเนี้ยจะเป็นรถยนต์ที่อยู่ในตระกูล รถยนต์ซิตี้คาร์หรือมี
วิเคราะห์รถยนต์มือสอง
MITSUBISHI STRADA 4WD ปี 2000 Mitsubishi Strada 4WD เป็นรถเเนวออฟโรดที่น่าเล่นอีกรุ่นหนึ่งเเละถือว่าเป็นรถยนต์ที่ออกแบบมามี รูปร่างหน้าตาที่ดูใช้ได้มีเส้นสายที่ลงตัวโดยมีขุมกำลังแบบ ดีเซลขนาด 2.8 ซีซี ซึ่งถือว่าค่อนข้างแรงในขณะนั้นเเละพาลให้มีอัตราการกินน้ำมันที่พอดูเลยที เดียวที่ประมาณ 10 Km/ลิตร มีน้ำหนักตัวที่หนัก
CHEVROLET AVEO ปี 2007 เชฟโลเลต อาวีโอ่ เป็นรถยนต์นั้งขนาดเล็กเเต่คุณภาพไม่ได้เล็กตามตัวไปดว้ยโดยเป็นรุ่นที่ ถูกออกแบบมาขนาดกระทัดรัด (ไม่เล็กจนเกินไป) คุณภาพของวัสดุถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐาน โดยมีขุมกำลังขนาดย่อมที่ 1.4 ซีซี เน้นการประหยัดพลังงานเเละมีอัตราการกินน้ำมันที่ประมาณ 14-15 Km/ลิตร
รวมคลิปวิดีโอรถยนต์

ดูบทความเก่าย้อนหลัง